12 มี.ค. 2567

แปลงหนี้ใหม่ ต้องเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้

          ป.พ.พ.มาตรา 349  เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับไปด้วยแปลงหนี้ใหม่
          ถ้าทำหนี้มีเงื่อนไขให้กลายเป็นหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่าเป็นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้น
          ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง

          การแปลงหนี้ใหม่ จึงต้องเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ซึ่งจะมีผลให้มูลหนี้เดิมระงับไป แล้วคู่กรณีก็จะมาผูกพันกันตามมูลหนี้ใหม่  แต่ถ้าการแปลงหนี้ใหม่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย มูลหนี้เดิมก็ยังไม่ระงับไปแต่อย่างใด


          

          กรณีเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้         
          จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงิน ยังมิได้ชำระหนี้ การที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันให้แปลงหนี้เป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวนหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงเป็นหนี้ใหม่ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ตามสัญญาขายลดและในตั๋วสัญญาใช้เงินได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2544)
          จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายสาขาบางนา เมื่อปี 2535  ก. พนักงานขายสาขาบางนา ได้ขายรถยนต์ให้ให้แก่ ส. ในราคา 299,000 บาท โดย ส. วางเงินดาวน์ไว้ 60,000 บาท ส่วนที่เหลือจะนำรถยนต์ไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หลังจากส่งมอบรถยนต์ไปแล้วปรากฏว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไม่อนุมัติให้ ส.เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ เนื่องจากเอกสารของ ส.เป็นเอกสารปลอม และ ส.ได้นำรถยนต์หนีไป จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าความเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์  เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันให้จำเลยที่ 1 รับผิดโดยทำเป็นสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จึงเป็นการทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้อันเกิดจากความรับผิดของจำเลยที่ 1 จึงระงับสิ้นไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่และการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ก็เพื่อยอมรับผิดชำระหนี้ค่ารถยนต์แก่โจทก์ ถือว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่   3272/2547)

          กรณีมิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้
          จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ตามสัญญากู้เงินจึงมิใช่การแปลงหนี้ใหม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2540)