28 กุมภาพันธ์ 2567

พินัยกรรม


          ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

          มาตรา 1646  "บุคคลใดจะแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในการต่างๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายก็ได้"

          มาตรา 1647  "การแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายนั้นย่อมทำได้ด้วยคำสั่งครั้งสุดท้ายกำหนดไว้ในพินัยกรรม"
          มาตรา 1648  "พินัยกรรมนั้นต้องทำตามแบบซึ่งระบุไว้ในหมวด 2 แห่งลักษณะนี้"

          พินัยกรรมเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายด้วยคำสั่งครั้งสุดท้ายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในการต่างๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนเองเสียชีวิต โดยพินัยกรรมต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ได้แก่ พินัยกรรมแบบธรรมดา, พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ, พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง, พินัยกรรมแบบเอกสารลับ, พินัยกรรมแบบทำด้วยวาจา, พินัยกรรมแบบทำตามกฎหมายต่างประเทศ และ พินัยกรรมที่ทำขึ้นในภาวะการรบหรือสงคราม 

          
          1. ผู้ที่จะทำพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินของตนเองเท่านั้น จะกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18489/2556  ป.พ.พ. มาตรา 1646 บัญญัติว่า บุคคลใดจะแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายก็ได้ จากบทบัญญัติดังกล่าวผู้ที่จะทำพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินได้นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินของตนเองเท่านั้น จะกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้ การที่ผู้ตายฝากเงินกับธนาคารจำเลยที่ 1 โดยเปิดบัญชีเงินฝากใช้ชื่อ ผู้ตายเพื่อผู้เยาว์ แสดงว่าผู้เยาว์เป็นเจ้าของเงินฝากในบัญชี เช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในเงินย่อมตกเป็นของผู้เยาว์ในทันทีที่ธนาคารจำเลยที่ 1 รับเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ผู้ตายจึงไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกเงินฝากดังกล่าวให้แก่ผู้ใด ข้อกำหนดในพินัยกรรมส่วนนี้ไม่มีผลบังคับ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3614/2547  ช. และ ป. ยกที่ดินพิพาทให้ ภ. มารดาโจทก์ แม้การให้จะไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 แต่ไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทของ ภ. จากบุคคลอื่น ภ. ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตั้งแต่ได้รับการยกให้ตลอดมาจนถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรได้ครอบครองต่อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ดังนั้น การที่ ป. ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่ทรัพย์ของตนเองให้แก่จำเลยจึงไม่ชอบ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3921/2546  การทำพินัยกรรมเป็นการจำหน่ายทรัพย์สินที่จะมีผลเมื่อตายและเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ทำพินัยกรรมซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 บัญญัติว่า "บุคคลใดจะแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง… เมื่อตนตายก็ได้"  นอกจากนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติว่า "เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตนหรือ… ก็ได้" แม้ผู้ตายและผู้ร้องจะมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 8372 ก็ตาม ผู้ตายย่อมมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินส่วนของผู้ตายให้แก่ผู้คัดค้านได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้อง ข้อกำหนดแห่งพินัยกรรมในส่วนนี้จึงมีผลบังคับได้

          ที่ดินในนิคมสร้างตนเอง เมื่อยังไม่มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ที่ดินจึงยังคงเป็นที่ดินของรัฐ ไม่สามารถทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดได้ 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3917/2563  ผู้ตายครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินในนิคมสร้างตนเอง เมื่อยังไม่มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นที่ดินของรัฐ การที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่ บ. มิใช่การตกทอดโดยมรดก เป็นการขัดต่อ พ.ร.บ. ดังกล่าว ผู้ตายมีเพียงสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทถือเป็นทรัพย์มรดกอย่างหนึ่ง ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตาย เมื่อทายาททุกคนของผู้ตายตกลงให้ บ. เป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินของผู้ตายตามที่พระราชกฤษฎีกานิคมสร้างตนเองกำหนดให้ทายาทเข้ารับสิทธิได้เพียงผู้เดียว บ. จึงเป็นแต่เพียงผู้มีชื่อในหนังสือแสดงการทำประโยชน์แทนบุตรทุกคนของผู้ตายเท่านั้น ต่อมา บ. ไปขอออกโฉนดที่ดินจนได้รับโฉนดที่ดินพิพาท ก็ยังต้องถือว่าเป็นการดำเนินการแทนทายาทอื่น ทายาททุกคนมีส่วนเท่า ๆ กันและเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท บ. ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ขอรับโอนมรดกที่ดินใส่ชื่อของตนเองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ก็ยังคงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนทายาททุกคนของผู้ตาย สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้รับโอนคงมีสิทธิในทำนองเดียวกันกับสิทธิของ บ. ผู้โอน จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาททั้งแปลงไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 นิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองไม่ชอบ จำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แบ่งแยกที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองผู้เป็นทายาทของผู้ตาย แต่หากการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินแก่โจทก์ทั้งสองไม่อาจดำเนินการได้ ก็ต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง

          2. การแสดงเจตนาทำพินัยกรรม จะต้องกระทำในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2556  การทำพินัยกรรมคือการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646 และ 1647 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำพินัยกรรม ผู้ตายไม่รู้สึกตัว ไม่มีสติสัมปชัญญะ พูดจาไม่ได้ บังคับร่างกายของตนก็ไม่ได้ จึงไม่สามารถที่จะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายได้ด้วยตนเอง ข้อความในพินัยกรรมจึงมิใช่เจตนาอันแท้จริงของผู้ตาย แต่เป็นข้อความที่แสดงเจตนาของผู้แอบอ้างจัดทำขึ้นเอง จึงเป็นพินัยกรรมปลอม ไม่มีผลบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า พินัยกรรมเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านไม่มีหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าพินัยกรรมมิใช่ของจริง ผู้ร้องมีพยานที่ลงชื่อรับรองในพินัยกรรมเบิกความยืนยันว่า พินัยกรรมทำขึ้นจริงขณะที่ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี และรู้เรื่องดีตลอด ลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมเป็นของผู้ตาย พินัยกรรมจึงไม่ปลอม หรือมีการลงลายพิมพ์นิ้วมือปลอม และหากผู้ตายขาดคุณสมบัติหรือสภาวะความสามารถของผู้ทำโดยการบกพร่อง ตามกฎหมายก็บัญญัติไว้เพียงว่า พินัยกรรมนั้นไม่มีผลบังคับและเสียไปเท่านั้น หาอาจให้ศาลก้าวล่วงฟังว่าเป็นพินัยกรรมปลอมได้ไม่นั้น ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนปรากฏว่า ผู้คัดค้านมีนาวาอากาศโท ส. แพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความประกอบประวัติการรักษาผู้ตายโดยเฉพาะคำวินิจฉัยเบื้องต้นของแพทย์เวรผู้ทำการรักษาว่า ผู้ตายถูกนำส่งตัวมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว แพทย์เวรใส่ท่อช่วยหายใจและให้ยาเบื้องต้นพบว่าผู้ตายมีอาการเลือดออกในสมอง นาวาอากาศโท ส. นำผู้ตายไปผ่าตัดสมองใส่ท่อเพื่อระบายน้ำและเลือดภายในโพรงสมองผู้ตาย หลังผ่าตัดผู้ตายมีอาการดีขึ้นเล็กน้อย ไม่เกร็ง แต่ก็ไม่สามารถรู้สึกตัว แม้จะกระตุ้นอย่างแรงก็ไม่รู้สึกตัว ต่อมานาวาอากาศโท ส. ผ่าตัดผู้ตายอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่อระบายเลือดและน้ำออกจากโพรงสมอง ซึ่งต้องผ่าตัดเปลี่ยนทุก 5 ถึง 7 วัน มิฉะนั้นจะเกิดอาการติดเชื้อ ในวันเดียวกันนั้นได้เจาะคอผู้ตายเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจด้วย หลังผ่าตัดผู้ตายไม่มีอาการดีขึ้น ยังมีอาการทรงตัวเหมือนเดิมคือ ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถพูดจาโต้ตอบได้ หลับตาตลอด ซึ่งอาการแย่กว่าตอนที่เข้ามาในครั้งแรก ต่อมาผู้ตายได้เสียชีวิต นาวาอากาศโท ส. มีความเห็นว่า ผู้ตายไม่สามารถที่จะกลับมามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ได้ตั้งแต่แรก เนื่องจากก้านสมองของผู้ตายถูกกดมาตลอดตั้งแต่แรก ดังนั้นผู้ป่วยจึงไม่สามารถทำนิติกรรมอะไรได้เลย ตามความเห็นที่ทำส่งศาล นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังมีพยานนำสืบตรงกับพยานผู้ร้องว่า ตั้งแต่ผู้ตายเข้ารักษาในโรงพยาบาลต้องอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. และใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัวมาโดยตลอด พยานหลักฐานของผู้คัดค้านที่นำสืบมาจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้โดยแจ้งชัดว่า ตั้งแต่ผู้ตายเข้ารักษาในโรงพยาบาลจนถึงวันตายนั้น ผู้ตายไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่รู้สึกตัว ไม่รับรู้และไม่สามารถพูดจาโต้ตอบกับใครได้ ดังนั้น เมื่อการทำพินัยกรรมคือการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 และ 1647 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏผู้ตายไม่รู้สึกตัว ไม่มีสติสัมปชัญญะ พูดจาไม่ได้ บังคับร่างกายด้วยตนเองก็ไม่ได้ ผู้ตายจึงไม่สามารถที่จะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายได้ด้วยตนเองในวันเวลาที่ระบุว่ามีการทำพินัยกรรม ข้อความทั้งหมดในพินัยกรรมจึงมิใช่เจตนาที่แท้จริงของผู้ตาย แต่เป็นข้อความที่แสดงเจตนาของผู้แอบอ้างจัดทำขึ้นเอง พินัยกรรมจึงเป็นพินัยกรรมปลอมไม่มีผลบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาข้างต้น และเมื่อพินัยกรรมเป็นพินัยกรรมปลอมแล้ว ข้ออ้างฎีกาอื่น ๆ ของผู้ร้องก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

          3. การทำพินัยกรรมต้องมีข้อความกำหนดการเผื่อตายไว้ในเรื่องทรัพย์สิน หากทำหนังสือโดยต้องการมอบทรัพย์สินให้ก่อนตายก็มิใช่พินัยกรรม
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10243/2554  การตีความเจตนาต้องอาศัยข้อความในหนังสือเป็นสำคัญ การที่ ว. ทำหนังสือ 2 ฉบับ ฉบับแรกแม้จะใช้ชื่อหนังสือว่า หนังสือมอบมรดก แต่มีข้อความตอนหนึ่ง ให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นต่อจาก ว. นับแต่วันทำหนังสือฉบับนั้นเป็นต้นไป แสดงให้เห็นว่า ว. ประสงค์จะยกทรัพย์สินของตนให้แก่ผู้คัดค้านในวันนั้น หาใช่ให้ทรัพย์ตกเป็นของผู้คัดค้านเมื่อ ว. ถึงแก่ความตายไม่ ส่วนหนังสืออีกฉบับหนึ่งใช่ชื่อว่า หนังสือมอบกรรมสิทธ์ มีข้อความสรุปว่า ว. ขอยกที่ดินพร้อมบ้านให้แก่ผู้คัดค้านเพื่อเป็นการชำระหนี้ที่ ว. ค้างชำระแก่ผู้คัดค้าน ทั้งยังมีข้อความว่า ว. พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ในที่ดินและบ้านให้แก่ผู้คัดค้านหากผู้คัดค้านร้องขอ โดยไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่า ว. ประสงค์จะให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของผู้คัดค้านเมื่อ ว. ถึงแก่ความตายแล้วเช่นกัน หนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวที่ไม่มีข้อความกำหนดการเผื่อตายไว้ จึงมิใช่พินัยกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646 เมื่อหนังสือทั้งสองฉบับไม่เป็นพินัยกรรมตามที่ผู้คัดค้านฎีกา ผู้คัดค้านจึงมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ว. ทั้งไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกนั้น จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก ว. ได้

          4. ถ้าข้อกำหนดพินัยกรรมบางข้อไม่สามารถทำได้ ข้อกำหนดพินัยกรรมข้อนั้นก็สิ้นผล
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7249/2553  ผู้ตายทำพินัยกรรมฉบับแรก ข้อ 1 ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2668 ให้แก่บุตร 5 คน คนละ 626.8 ตารางวา ข้อ 2 ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2308 เฉพาะส่วนของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 เท่ากับที่ยกให้บุตรตามข้อ 1 ต่อมาผู้ตายทำพินัยกรรมฉบับที่สองว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2308 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา ที่เหลือจากยกให้จำเลยที่ 2 ยินดียกให้โจทก์ทั้งหมด ดังนี้ เห็นได้ว่าเกิดจากการคำนวณเนื้อที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ตายผิดพลาดว่าเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา หรือ 710 ตารางวา แต่ความจริงที่ดินส่วนของผู้ตายมีเนื้อที่เพียง 606.66 ตารางวา เมื่อยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2308 เฉพาะส่วนของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 606.66 ตารางวา ยังไม่ครบตามจำนวนเนื้อที่ดินที่ผู้ตายระบุไว้ตามที่พินัยกรรมฉบับแรก จึงไม่มีที่ดินโฉนดเลขที่ 2308 เหลือแบ่งแก่โจทก์ ข้อกำหนดพินัยกรรมที่ยกที่ดินแก่โจทก์จึงสิ้นผล

           5. สถานที่ทำพินัยกรรมไม่ใช่ข้อสาระสำคัญของแบบแห่งพินัยกรรมซึ่งจำต้องระบุไว้ การที่ระบุสถานที่ทำพินัยกรรมผิดจากความเป็นจริงไม่ทำให้พินัยกรรมต้องเสียไปแต่อย่างใด

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8747/2550  สถานที่ทำพินัยกรรมไม่ใช่ข้อสาระสำคัญของแบบแห่งพินัยกรรมซึ่งจำต้องระบุไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ระบุสถานที่ทำพินัยกรรมผิดจากความเป็นจริงไม่ทำให้พินัยกรรมต้องเสียไปแต่อย่างใด
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามเป็นบุตรของนาง ล.ผู้ตาย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2541 นาง ล.ได้ถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามว่า พินัยกรรมมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ และสมควรตั้งผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ พยานผู้ร้องมีตัวผู้ร้องและ จ. เบิกความว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2541 จ. ได้ทำพินัยกรรมให้กับผู้ตาย จากนั้นพากันเดินทางไปที่สำนักงานเขตดินแดงและผู้ตายลงชื่อในช่องผู้ทำพินัยกรรม จ. ลงชื่อเป็นพยานและ อ. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตดินแดงลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมและมอบพินัยกรรมให้หัวหน้าฝ่ายทะเบียนเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานเขตด้วย พินัยกรรมดังกล่าวระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นผู้รบมรดกตามพินัยกรรม ผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบว่า นาง ล. ผู้ตายมีอาการสมองฝ่อ สติเลอะเลือนไม่สามารถจำบุตรหลานได้ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้ร้องพาผู้ตายไปรักษาตัวที่สถาบันประสาทวิทยา ผู้ตายพูดจาไม่รู้เรื่อง จึงพาไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเดอะซีเนียร์ หลังจากนั้นกลับมาพักที่บ้านผู้ร้องและผู้ตายผูกคอตายที่บ้านผู้ร้อง แต่นายแพทย์ ส.กับนายแพทย์ ฉ. เบิกความว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 นายแพทย์ ส.ได้ทำการตรวจรักษาผู้ตาย พบว่า ผู้ตายมีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอสมองขาดเลือดเป็นจุดๆ มีอาการวิงเวียนเป็นบางครั้ง แต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์ สามารถพูดคุยกันรู้เรื่องดี เห็นว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามต่างเบิกความโต้แย้งกันโดยผู้ร้องยืนยันว่าผู้ตายขณะทำพินัยกรรมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่าขณะผู้ตายทำพินัยกรรม ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ แต่นายแพทย์ ส. และนายแพทย์ ฉ. พยานผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด กลับเบิกความว่า พยานเป็นผู้ตรวจรักษาผู้ตายก่อนถึงแก่ความตายระหว่างปี 2541 ถึง 2543 โดยนายแพทย์ ส. ตรวจรักษาผู้ตายก่อนถึงแก่ความตายหลังทำพินัยกรรมประมาณ 1 เดือน และนายแพทย์ ฉ. ตรวจรักษาผู้ตายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2543 หลังจากผู้ตายทำพินัยกรรมได้ประมาณ 2 ปี เบิกความยืนยันว่าผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นอกจากนี้ นายแพทย์ ส.และนาย ฉ.ยังเบิกความตอบคำถามค้านของผู้ร้องว่า ผู้ตายสามารถพูดคุยรู้เรื่องและมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พอที่จะทำพินัยกรรมได้ ประกอบกับหนังสือรับรองของแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าทำขึ้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แตกต่างกับคำเบิกความของ จ.ที่ว่า พินัยกรรมทำขึ้นที่สำนักงานของ จ. ที่กรุงเทพมหานคร เห็นว่า สถานที่ทำพินัยกรรมไม่ใช่ข้อสาระสำคัญของแบบแห่งพินัยกรรมซึ่งจำต้องระบุไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ระบุสถานที่ทำพินัยกรรมผิดจากความเป็นจริง ไม่ทำให้พินัยกรรมต้องเสียไปแต่อย่างใด สำหรับฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามที่ว่าผู้ร้องไม่ได้นำตัวนาง อ. พยานในพินัยกรรมมาเบิกความเป็นพยาน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ขณะทำพินัยกรรมนั้น การที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้าสืบแค่ไหนเพียงใดเป็นเรื่องดุลยพินิจของผู้ร้อง และฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสามเองก็สามารถอ้างนาง อ. เป็นพยานของตนได้ ไม่มีข้อพิรุธแต่อย่างใด พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานผู้คัดค้านทั้งสาม จึงรับฟังได้ว่า ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมในขณะที่ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พินัยกรรมดังกล่าวใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จึงสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและไม่มีเหตุที่จะตั้งผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามฟังไม่ขึ้น”

          6. ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของพินัยกรรมคือ ต้องเป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายในการแสดงเจตนากำหนดเผื่อตายของตน กล่าวคือ ในขณะที่ตายนั้นไม่มีคำสั่งที่ออกมาภายหลังลบล้างคำสั่งนั้น ทั้งนี้ตามมาตรา 1697 "ถ้าผู้ทำพินัยกรรมมิได้แสดงเจตนาไว้ในพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น และปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับก่อนกับฉบับหลังขัดกัน ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับก่อนเป็นอันเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลัง เฉพาะในส่วนที่มีข้อความขัดกันนั้นเท่านั้น" หากปรากฏว่ามีพินัยกรรมฉบับใหม่ออกมามีข้อความลบล้างพินัยกรรมฉบับเก่า พินัยกรรมฉบับเดิมก็ถือว่ายกเลิกไป เพราะไม่ใช่คำสั่งครั้งสุดท้าย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8055/2556   ทรัพย์มรดกที่ ด. ได้รับจากกองมรดกของ ธ. เป็นที่ดิน ซึ่งผู้จัดการมรดกของ ธ. ได้ดำเนินการขายที่ดินทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งเงินแก่ทายาทของ ธ. เป็นคราว ๆ และ ด. ได้รับเงินส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวด้วย เมื่อ ด. ได้รับเงินส่วนแบ่งมรดกของ ธ. แล้ว ก็หาได้ระบุกันเงินส่วนดังกล่าวไว้ต่างหากเป็นพิเศษไม่ เงินที่ ด. ได้รับจากกองมรดกของ ธ. จึงระคนกับเงินส่วนอื่นที่ ด. มีอยู่ ไม่อาจถือเป็นทรัพย์สินเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่างได้ การที่ ด. ทำพินัยกรรมฉบับก่อนยกเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงหาเป็นพินัยกรรมลักษณะเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1651 (2) ไม่ เมื่อต่อมา ด. ได้ทำพินัยกรรมฉบับหลังยกเงินจำนวนเดียวกันให้จำเลยอีก ข้อความของพินัยกรรมทั้งสองฉบับที่ระบุให้เงินของ ด. ตกแก่ทายาทต่างคนกันจึงขัดกัน และ ด. ผู้ทำพินัยกรรมมิได้แสดงเจตนาในพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 1697 ที่ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับก่อนเป็นอันเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลัง โจทก์จึงหามีสิทธิใดๆ ในทรัพย์มรดกของ ด. ไม่ เพราะสิทธิของโจทก์ถูกยกเลิกไปแล้ว

          7. แต่ถ้าคำสั่งครั้งสุดท้าย ไม่มีข้อความลบล้างคำสั่งในการแสดงเจตนากำหนดเผื่อตายของตนก่อนหน้านี้ พินัยกรรมฉบับเดิมก็ยังคงอยู่ ใช้บังคับได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7462/2555  พินัยกรรมฉบับแรก ผู้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 4 แปลง และบ้านให้แก่จำเลยกับพี่น้องของผู้ทำพินัยกรรม และระบุตัดทายาทอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมไม่ให้รับมรดก พินัยกรรมฉบับที่ 2 ผู้ทำพินัยกรรมยกที่ดินอีก 3 แปลง ซึ่งไม่ใช่ที่ดินที่ระบุในพินัยกรรมฉบับแรกให้พี่น้องของผู้ทำพินัยกรรม เมื่อพินัยกรรมฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นพินัยกรรมฉบับหลังไม่มีข้อความให้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกหรือข้อกำหนดในพินัยกรรมฉบับแรก จึงต้องถือว่าพินัยกรรมหรือข้อกำหนดในพินัยกรรมฉบับแรกยังคงมีอยู่ และกรณีไม่ใช่พินัยกรรมฉบับก่อนและฉบับหลังขัดกัน เมื่อพินัยกรรมฉบับแรกสมบูรณ์ ทรัพย์สินในพินัยกรรมฉบับแรกจึงไม่ใช่ทรัพย์สินนอกพินัยกรรมฉบับที่ 2 แต่เป็นการที่ผู้ตายกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินแต่ละรายไว้ในพินัยกรรมแต่ละฉบับ โจทก์แม้เป็นทายาทโดยธรรมแต่ไม่ใช่ผู้รับพินัยกรรมจึงมีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ทำพินัยกรรมในส่วนที่ไม่ได้จำหน่ายโดยพินัยกรรมเท่านั้น

          8. ผู้ทำพินัยกรรมสามารถทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จะได้รับในอนาคตได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2532  การทำพินัยกรรมอาจกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินที่จะได้มาในอนาคตได้ เมื่อผู้ตายทำพินัยกรรมมีข้อความระบุว่าทรัพย์สินของผู้ตายที่มีอยู่ในขณะทำพินัยกรรมหรือที่จะมีขึ้นในภายหน้า ผู้ตายยกให้แก่จำเลยแต่ผูเดียว ดังนั้น ทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ได้มาภายหลังที่ผู้ตายทำพินัยกรรมก็ย่อมตกเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมด้วย

          การเพิกถอนพินัยกรรมหรือข้อกำหนดพินัยกรรมก่อนผู้ทำพินัยกรรมตาย สามารถทำได้ 3 วิธี คือ
          (1) ทำพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนพินัยกรรมฉบับก่อน
          (2) ผู้ทำพินัยกรรมทำลายหรือขีดฆ่าพินัยกรรมฉบับนั้นด้วยความตั้งใจ
          (3) โอนหรือทำลายทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งพินัยกรรมไปด้วยความตั้งใจ กรณีนี้ หากเป็นการโอนต้องเป็นการโอนที่มีผลสมบูรณ์ด้วย คือ ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากหากการโอนไม่มีผลแล้วทรัพย์นั้นก็กลับมาเป็นของผู้ทำพินัยกรรมเหมือนเดิม
           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1364/2516  การที่ผู้ทำพินัยกรรมได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมใด ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1696 วรรคแรก บัญญัติให้ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นเป็นอันเพิกถอนไปนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่การโอนนั้นสมบูรณ์และมิได้ถูกเพิกถอนในภายหลัง เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกสินเดิมของตนคือที่ดินมีโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้แก่ ล. ซึ่งเป็นบุตรแล้วต่อมาเจ้ามรดกได้ไปจดทะเบียนโอนทรัพย์ตามพินัยกรรมให้แก่ ล. ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมดังกล่าว โดยมิได้รับความยินยอมจากสามีเจ้ามรดก ต่อมาเมื่อสามีเจ้ามรดกบอกล้างนิติกรรมการโอนและฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน ซึ่งศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอน และเจ้าพนักงานได้แก้สารบาญในโฉนดใส่ชื่อเจ้ามรดกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามเดิมแล้ว ข้อกำหนดพินัยกรรมของเจ้ามรดกจึงยังมิได้ถูกเพิกถอนไป ล. ยังคงมีสิทธิที่จะรับมรดกตามพินัยกรรมในทรัพย์ดังกล่าวได้

          การเพิกถอนพินัยกรรมภายหลังผู้ทำพินัยกรรมตาย
          หากผู้ทำพินัยกรรมแสดงเจตนาทำพินัยกรรมโดยบกพร่องเนื่องจากสำคัญผิด ถูกข่มขู่ หรือถูกกลฉ้อฉล เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตายไปผู้มีส่วนได้เสียอาจเพิกถอนเสียได้โดยร้องขอต่อศาลภายในเงื่อนไขและระยะเวลา ตามมาตรา 1708 ถึง 1710

การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง


          ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
          มาตรา 1374  "ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน เพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้
          การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกรบกวน"

          ในกรณีที่ผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน เนื่องจากมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ และถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้ ซึ่งการฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น กฎหมายกำหนดระยะเวลาไว้ โดยจะต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ถูกรบกวน




          การซื้อขายที่ดินซึ่งมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 แต่มีผลเป็นการสละการครอบครองที่ดินของผู้ขายให้แก่ผู้ซื้อ ไม่ใช่เรื่องแย่งการครอบครอง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1401/2553 จ. ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสองและมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองครอบครองแล้วในวันเดียวกัน เมื่อการซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่เป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ จ. จึงมีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อ จ.ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองเป็นการสละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์ทั้งสองย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามมาตรา 1377, 1378 แล้ว จึงเป็นการได้มาด้วยการครอบครองฟ้องบังคับให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และจดทะเบียนคัดชื่อจำเลยออกแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองแทนชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกอันเป็นการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ และเมื่อโจทก์ทั้งสองไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวแก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ จ. เจ้ามรดกแล้ว ก็ไม่มีปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 วรรคสาม หรือไม่ แต่โจทก์ทั้งสองได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้วจึงชอบที่จะขอให้ห้ามจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทได้
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า นาย ฉ.และนาง จ. เป็นสามีภริยากัน และเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เล่มที่ 7 หน้า 128 สารบบเลขที่ 115 หมู่ที่ 7 ตำบลวังศาลา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 12 ไร่ 3 ตารางวา วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวจากนาย ฉ.และนาง จ. จำนวน 5 ไร่ ราคา 700,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ. 4 หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองได้ชำระเงินรวม 330,000 บาท ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ. 5 ต่อมาในปี 2538 นาย ฉ.ถึงแก่กรรม นาง จ.ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ทั้งสองใหม่ในราคา 1,000,000 บาท ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ. 6 ต่อมาโจทก์ได้ชำระราคาค่าที่ดินให้แก่นาง จ.ครบถ้วนแล้ว และนาง จ.ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองครอบครองตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2539 ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ. 7 และโจทก์ทั้งสองให้นาง ส.และนาย ภ. เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแทน โดยนาย ส. และนาย ภ. ปลูกพริก ข้าวโพดและอ้อยในที่ดินพิพาท แต่นาง จ. ยังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง และเมื่อปี 2541 นาง จ. ถึงแก่กรรม
          ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อนาง จ. ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสองในวันที่ 12 ตุลาคม 2539 และได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองครอบครองแล้วในวันเดียวกัน ซึ่งนับถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว เมื่อการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนาง จ. มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ นาง จ. จึงมีแต่สิทธิครอบครอง การซื้อขายเมื่อได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองไปแล้วก็ฟังได้ว่า นาง จ. สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์ทั้งสองย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว การได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการได้มาด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขายซึ่งตกเป็นโมฆะดังกล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองจะใช้สิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ.ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เล่ม 7 หน้า 128 สารบบเลขที่ 115 หมู่ที่ 7 ตำบลวังศาลา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และจดทะเบียนคัดชื่อจำเลยออกแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองเนื้อที่ 5 ไร่ แทนชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกอันเป็นการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ และเมื่อฟังว่าโจทก์ทั้งสองไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวแก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง จ. เจ้ามรดกแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม หรือไม่อีกต่อไป แต่เนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะขอให้ห้ามจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
          พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เล่ม 7 หน้า 128 สารบบเลขที่ 115 หมู่ที่ 7 ตำบลวังศาลา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ในส่วนที่นาง จ. สละการครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 5 ไร่ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

          เพียงแต่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  9696/2552  การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 โจทก์ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจะต้องถูกรบกวนโดยการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากฝ่ายจำเลย การที่ฝ่ายจำเลยเพียงแต่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ที่โจทก์จะต้องฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันออกโฉนดที่ดิน
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่านาง ล. เป็นมารดาของนาย ฟ. และนาย ง. โจทก์เป็นบุตรของนาย ฟ. จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นบุตรของนาย ง. ส่วนจำเลยที่ 7 เป็นบุตรของนาย ฟ. และเป็นบุตรบุญธรรมของนาย ง. เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามใบแจ้งครอบครองเลขที่ 99 หมู่ที่ 3 ตำบลตะพง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามเอกสารหมาย จ.4 มีชื่อนาง ล. เป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครอง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2520 นาง ล. จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่นาย ง. ต่อมาปี 2538 นาย ง. มอบอำนาจให้จำเลยที่ 7 ไปดำเนินการขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 7 โจทก์ไม่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ก็ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น คดีสำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายไว้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 
          คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการแรกว่า นาง ล. ยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้แก่นาย ง. บิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่... ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นาง ล. ยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.4 ให้แก่นาย ฟ. และนาย ง. คนละครึ่ง โดยนาย ฟ. ได้ที่ดินทางด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ตามสำเนาโฉนดที่ดินส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีเหลืองเอกสารหมาย จ.7 ส่วนนาย ง. ได้ทางด้านทิศตะวันตกตามสำเนาโฉนดที่ดินส่วนที่ไม่ได้ระบายสีเอกสารหมาย จ.7 หลังจากได้รับการยกให้นาย ฟ.เข้าทำประโยชน์โดยทำสวนยางพารา ต่อมาปี 2523 นาย ฟ.ยกที่ดินพิพาทโจทก์ หลังจากนั้นโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ทำสวนยางพารา โดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาถึงปัจจุบัน การให้ที่ดินพิพาทระหว่างนาง ล. กับนาย ฟ.บิดาโจทก์ แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหลักฐาน เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อนาง ล.ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นาย ฟ.บิดาโจทก์ถือว่านาง ล.ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นาย ฟ.บิดาโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยนาย ฟ.บิดาโจทก์ยกให้ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ตั้งแต่ปี 2523 การที่นาย ง. บิดาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 นำที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องและนาย ง. มิได้บอกให้โจทก์ทราบ ถึงกระนั้นโจทก์ก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่นาย ง. ไปขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยรวมเอาที่ดินพิพาทเข้าไปด้วยนั้น หาเป็นเหตุให้สิทธิครอบครองของโจทก์เหนือที่ดินพิพาทที่มีอยู่แล้วโดยสมบูรณ์เสียไปไม่ เมื่อในขณะออกโฉนดที่ดินนาย ง. ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการออกโฉนดที่ดินให้นาย ง. โดยไม่ชอบ นาย ง. จึงไม่ได้กรรมสิทธิในที่ดินพิพาท นาย ง. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินพิพาทไปทำพินิจกรรมยกให้แก่ทายาทของตน ศาลจึงชอบที่จะสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทในส่วนที่ออกโดยไม่ถูกต้องได้ แม้นาย ง. บิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 อันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่า นาย ง. บิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างสามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ตามหน้าที่นำสืบของโจทก์ จึงนำพยานหลักฐานโจทก์มารับฟังให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การขอออกโฉนดที่ดินของนาย ง. บิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นไปโดยชอบ และนาง ล. ยกที่ดินพิพาทให้นาย ง. บิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เพียงผู้เดียวนั้น จึงฟังไม่ขึ้น
          ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในประการต่อมา การที่นาย ง. ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.7 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2539 ถือเป็นการรบกวนสิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันออกโฉนดที่ดินซึ่งเป็นเวลาที่ถูกรบกวนนั้น เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 นั้น โจทก์ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจะต้องถูกรบกวนโดยการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากฝ่ายจำเลย การที่นาย ง. เพียงแต่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.7 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2539 นั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เช่นกัน ส่วนฎีกาประการอื่นของจำเลยที่ 1 ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”




          ถ้าผู้ถูกฟ้องให้การว่าที่เป็นของตนเอง มิได้แย่งการครอบครอง คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองที่จะต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่อย่างใด
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1343 - 1344/2552  เมื่อจำเลยทั้งสองให้การชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่ต้นมิได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องการโต้แย้งการครอบครองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินเป็นของผู้อื่น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกประเด็นมาวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นการไม่ชอบ เพราะการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องเกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ

          จำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้นไม่เคยตกเป็นของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครอง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8107/2544   โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ด. บิดาจำเลย ต่อมาก่อน ด. จะถึงแก่ความตาย ด. ได้ขายให้โจทก์โดยการส่งมอบ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ด. ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย มิได้ครอบครองเพื่อตน หลังจาก ด. ถึงแก่ความตายโจทก์จำเลยฟ้องร้องกันเป็นคดีอาญาและต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องไปแล้วจำเลยได้กลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เพราะเป็นของจำเลย แสดงว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้นไม่เคยตกเป็นของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่

          จำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  116/2552  จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยซื้อที่ดินจาก ก. จำเลยได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ ทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยตั้งแต่จำเลยได้ซื้อมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองหรือทำประโยชน์ โจทก์ทราบมานานหลายปีแล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ แต่มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องร้องตามป.พ.พ. มาตรา 1374 มาตรา 1375 และมาตราอื่นๆ ในลักษณะ 3 ครอบครอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวจำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองเป็นประเด็นข้อพิพาทด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
          จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ที่ดินหรือเป็นเจ้าของที่ดิน มีอาณาเขตทั้งสี่ทิศจดที่ดินอะไรหรือของใคร และไม่ได้บรรยายฟ้องว่าที่ดินโจทก์ทั้งสี่ทิศมีความกว้างยาวเท่าไร จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 172 นั้น เป็นเรื่องนอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามที่จำเลยได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

          ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7393/2550  ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ และ พ. เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ พ. ย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า พ. ผู้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย
          คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจาก พ. จำเลยครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้จึงไม่มีปัญหาในเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ดินเป็นของบุคคลอื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองเอง จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนหรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 วรรคสอง และมาตรา 1375 วรรคสอง
           ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า นาย ส. กับนาง ฟ. เป็นบุตรของนาง ย. โดยนาง ฟ. เป็นพี่นาย ส.และเป็นพี่มารดาของนาง พ. ส่วนนาย ช. เป็นบุตรของนาย ส. เดิมนาย ช. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 โจทก์กับนาย ช. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นาย ช. ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2537 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนาย ช. ตามคำสั่งศาล จากนั้นโจทก์ได้ดำเนินการโอนที่ดินแปลงดังกล่าวทางทะเบียนมาเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้รับมรดก เดิมนาง ฟ.เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 989 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 7 นาง ฟ. ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2514 จากนั้นได้มีการโอนที่ดินของนาง ฟ.ทางทะเบียนมาเป็นของนาง พ. ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2536 นาง พ. ยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวในนามเดิม และวันที่ 23 พฤษภาคม 2537 นาง พ. ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทแบ่งแยกในนามเดิม โดยขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 989 ออกเป็นโฉนดที่ดินแปลงใหม่ 2 แปลง แปลงแรกโฉนดเลขที่ 14188 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 7.5 ตารางวา ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนสิทธิประเภทแบ่งแยกในนามเดิมและสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 8 แปลงที่สองโฉนดเลขที่ 14187 เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนสิทธิประเภทแบ่งแยกในนามเดิมและสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 หลังจากแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลงดังกล่าวแล้ว คงเหลือเนื้อที่ตามโฉนดเลขที่ 989 เพียง 1 ไร่ 3 งาน 66.3 ตารางวา ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2537 นาง พ. นำเนื้อที่ดินที่เหลือตามโฉนดเลขที่ 989 ดังกล่าว รวมกันกับที่ดินที่นาง พ. อ้างว่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีหลักฐานเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน ไปขอออกโฉนดที่ดินแปลงใหม่คือโฉนดเลขที่ 15627 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีและสำเนาบันทึกการสอบสวนการครอบครองที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินแปลงใหม่เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 นาง พ. จดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 ให้แก่จำเลย ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 สำหรับที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้โจทก์และจำเลยนำชี้รังวัดคือที่ดินในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เฉพาะตามเส้นแดงเนื้อที่ 3 ไร่ 12.3 ตารางวา โจทก์นำรังวัดอ้างว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ส่วนจำเลยนำชี้รังวัดภายในเส้นสีแดงนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนทางด้านทิศใต้ตามเส้นสีฟ้าประ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา จำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.5 ที่นาง พ. ขายให้แก่จำเลยพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 และส่วนทางด้านทิศเหนือลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมอันเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 14187 เนื้อที่ของโฉนดดังกล่าว เฉพาะเท่าที่อยู่ภายในเส้นสีแดงมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 2.2 ตารางวา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ภายในเส้นสีฟ้าประเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา ว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของโจทก์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินภายในเส้นสีฟ้าประ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา เป็นของโจทก์ ดังนั้น ที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือภายในเส้นสีแดงที่โจทก์นำรังวัดอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินภายในเส้นสีฟ้าประ ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันสรุปได้ว่า เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 เป็นของนาย ช.สามีโจทก์ เมื่อนาย ช. ถึงแก่ความตายจึงได้รับโอนมาเป็นของโจทก์ โดยที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่หมู่ที่ 2 สาเหตุที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวระบุว่าอยู่หมู่ที่ 4 เนื่องจากระบุผิดพลาดตามที่อยู่เดิมของนาย ช. ซึ่งเจ้าพนักงานผู้ทำการรังวัดทำแผนที่วิวาทได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสอบถามจากนาย ว. นาง บ. และนาย จ. ต่างให้ถ้อยคำยืนยันว่าที่ดินที่ทำแผนที่วิวาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 และอยู่หมู่ที่ 2 จริง ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 เดิมนาย ช.และโจทก์ไม่ได้เข้าทำประโยชน์เนื่องจากนาย ส.บิดาของนาย ช. ต้องการเก็บกินในที่ดินดังกล่าว โดยให้นาง พ.เป็นผู้ดูแลและส่งผลประโยชน์ให้แก่นาย ส.ทุกปี ภายหลังที่ดินแปลงดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามส่วน เนื่องจากมีคลองและถนนตัดผ่าน ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2543 โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่นาง พ.และจำเลยคัดค้าน โดยจำเลยคัดค้านว่าที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยตามใบ ภ.บ.ท.5 ที่ซื้อมาจากนาง พ. นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางสาว ภ. บุตรของโจทก์เป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์ แม้โจทก์และนางสาว ภ.จะเบิกความแตกต่างกับคำเบิกความของนาย ส.ในเรื่องผลประโยชน์ที่เก็บจากผู้เช่า ก็เป็นเพียงพลความมิใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ยังเบิกความได้สอดคล้องต้องกันกับคำให้การตามบันทึกถ้อยคำของนาย ว. อายุ 65 ปี ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ประมาณปี 2512 ถึง 2532 และเคยเป็นกำนันตำบลหวายเหนียวตั้งแต่ประมาณปี 2532 ถึง 2537 นาง บ. อายุ 64 ปี และนาย จ. อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงที่ดินพิพาทมาแต่เดิมต่างยืนยันตรงกันว่า ที่ดินที่ทำแผนที่วิวาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์ ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 อีกทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านว่านาย ว. นาง บ.และนาย จ.มิได้รู้เห็นเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีฟ้าประตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์ แม้นาย ช.และโจทก์จะไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยตนเอง แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความจากโจทก์และนางสาว ภ.ว่า นาย ช.และโจทก์ได้ให้นาย ส.เป็นผู้เก็บกินในที่ดินพิพาท และนาย ส.ให้นาง พ.เป็นผู้ดูแลแทนและส่งผลประโยชน์ให้แก่นาย ส. โดยโจทก์อ้างส่งคำเบิกความของนาย ส.ซึ่งได้เบิกความต่อศาลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องนาง พ. เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นพยาน จึงเชื่อได้ว่านาย ช.และโจทก์ให้นาย ส.เป็นผู้เก็บกินในที่ดินพิพาท และนาย ส.ให้นาง พ.เป็นผู้ดูแลและเก็บผลประโยชน์แทน แม้โจทก์จะไม่ได้นำนาย ส.มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ด้วย เนื่องจากมีอายุมากและความจำเริ่มบกพร่อง แต่เมื่อรับฟังคำเบิกความของนาย ส.ในคดีที่โจทก์ฟ้องนาง พ.เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทประกอบคำเบิกความของโจทก์และนางสาว ภ.แล้วมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่านาย ส.และนาง พ. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนนาย ช.และโจทก์ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทตามใบ ภ.บ.ท.5 มาพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 จากนาง พ. โดยเสียค่าตอบแทนและจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด จำเลยครอบครองโดยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2537 จำเลยจึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ และนาง พ.เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว นาง พ.ย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านาง พ.ผู้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
          สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้ยึดถือครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และมาตรา 1375 กำหนดระยะเวลาในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนซึ่งสิทธิครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวน หรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนาง พ. จำเลยครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้ จึงไม่มีปัญหาในเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ดินของบุคคลอื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองเอง จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนหรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”




          แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินของรัฐ แต่ราษฎรก็อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ได้ ผู้ที่ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ที่ดินของรัฐอยู่ก่อนย่อมมีสิทธิปลดเปลื้องการรบกวนจากผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374                 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6667/2542  แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินของรัฐ แต่ราษฎรก็อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ได้ เพียงแต่เมื่อรัฐต้องการที่ดินราษฎรจะยกเอาการครอบครองมาเป็นข้อโต้แย้งรัฐมิได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันเองแล้ว ผู้ที่ยึดถือครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนย่อมมีสิทธิปลดเปลื้องการรบกวนจากผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 เมื่อมีกฎหมายรับรองสิทธิในกรณีดังกล่าวให้ ผู้มีสิทธิก็ย่อมสละสิทธินั้นได้ ดังนั้น การที่จำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์พร้อมส่งมอบการครอบครอง ย่อมถือได้ว่าจำเลยสละการครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์เข้ายึดถือครอบครองต่อไป การที่จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองโดยอ้างว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เป็นการนำข้อความเท็จไปแจ้งทำให้เจ้าพนักงานของรัฐหลงเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิจริง ดังนั้น การที่จำเลยได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ส.3) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จึงเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการไปโดยผิดหลงจากการแจ้งเท็จของจำเลย เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองอันแท้จริงแล้ว จำเลยย่อมไม่อาจอ้างเอาประโยชน์จากเอกสารสิทธิดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันแท้จริงย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า เดิมจำเลยซื้อที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทมาจากนาย ก. ไม่ปรากฏนามสกุล ตั้งแต่ปี 2507 แล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาในปี 2515 มีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองลำตะคองขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 351 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ทำให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตนิคมดังกล่าว ในปี 2525 จำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยมอบการครอบครองในที่ดินพิพาทแก่โจทก์แล้ว หลังจากนั้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 2526 จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองลำตะคองโดยแจ้งว่าได้เข้าถือครองทำกินในที่ดินพิพาท ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2528 อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 จำเลยได้นำไปขอออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน และจำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7
          พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จำเลยก็ไม่อาจโอนการครอบครองหรือสละการครอบครองให้โจทก์ได้ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยย่อมไม่ได้รับสิทธิใด ๆในที่ดินพิพาทไปด้วย จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเอง และได้รับอนุญาตให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ส.3) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมายดีกว่าโจทก์ เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินของรัฐ แต่ราษฎรก็อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ได้ เพียงแต่เมื่อรัฐต้องการที่ดินดังกล่าว ราษฎรจะยกเอาการครอบครองมาเป็นข้อโต้แย้งรัฐมิได้ แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันเองแล้ว ผู้ที่ยึดถือครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนย่อมมีสิทธิปลดเปลื้องการรบกวนจากผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 เมื่อมีกฎหมายรับรองสิทธิในกรณีดังกล่าวให้ผู้มีสิทธิย่อมสละสิทธินั้นได้ ดังนั้น การที่จำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์พร้อมส่งมอบการครอบครอง ย่อมถือได้ว่าจำเลยสละการครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์เข้ายึดถือครอบครองต่อไป การที่จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองโดยอ้างว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น เป็นการนำข้อความเท็จไปแจ้ง ทำให้เจ้าพนักงานของรัฐหลงเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิจริงจึงออกหนังสือสำคัญทั้งสองฉบับให้ ทั้งนี้เพราะตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ให้รัฐบาลมีอำนาจจัดที่ดินของรัฐเพื่อให้ประชาชนได้มีที่ตั้งเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในที่ดินโดยจัดตั้งเป็นนิคมนั้นน่าจะหมายความว่าที่ดินของรัฐที่จะนำมาจัดให้กับประชาชนต้องเป็นที่ดินซึ่งยังไม่มีผู้ใดยึดถือครอบครอง แต่หากที่ดินผืนใดที่อยู่ในเขตนิคมมีผู้ยึดถือครอบครองเข้าทำประโยชน์อยู่แล้ว รัฐบาลย่อมไม่มีอำนาจยึดกลับคืนมาจัดสรรให้ราษฎรอื่น ทั้งนี้เพราะตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีบทมาตราใดที่ให้อำนาจรัฐบาลซึ่งก็คือคณะบุคคลคณะหนึ่งกระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่จำเลยได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ส.3) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) จึงเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการไปโดยผิดหลงจากการแจ้งเท็จของจำเลย เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองอันแท้จริงแล้ว จำเลยย่อมไม่อาจอ้างเอาประโยชน์จากเอกสารสิทธิดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันแท้จริงย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6264/2541   แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตาม พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครอบชีพ พ.ศ. 2511 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ก็ได้โอนขายโดยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาท ให้โจทก์ที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 จะได้รับอนุญาตจาก อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ให้ทำกินถึง 3 ปี โจทก์ทั้งสองซึ่งได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนตามความเป็นจริงนับแต่ซื้อตลอดมา ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกทำละเมิดเป็นเหตุให้ต้นข้าวที่โจทก์ทั้งสองร่วมกันปลูกไว้ในที่ดินพิพาทต้องเสียหายนับได้ว่าโจทก์ทั้งสองถูกรบกวนสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4819/2538  การฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์มิได้ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดิน มิใช่เป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่จำเลยโดยโจทก์อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่สุจริต แต่เมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินมาตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 โดยชอบอย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดิน ไม่ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 548 ตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันบุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินเดิมจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 548 ตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2519 ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2521 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่พันตำรวจโท ส. วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 พันตำรวจโท ส.ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยเสน่หาปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 พิเคราะห์แล้ว ตามฟ้องและทางนำสืบโจทก์อ้างว่าโจทก์และบิดาโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2502 ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้ความว่าโจทก์อาจได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร และตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตอลดถึงผู้รับโอนด้วย"บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2497 เมื่อโจทก์อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นมา จึงเป็นการครอบครองภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบและคดีนี้มิใช่เป็นการฟ้องขอห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท อันเป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 แต่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่สุจริตเมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทไม่ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว"

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3372/2538  ที่ดินพิพาทมี น.ส.3 ก.ที่ทางราชการออกให้แก่มารดาโจทก์โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 5 ปี ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12 ก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวมารดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยและมอบการครอบครองให้แล้ว แต่การซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายใน 5 ปี การซื้อขายจึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้ง ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม ส่วนการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้รับโอนดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการครอบครองไว้แทนเจ้าของ แม้พ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้วก็ยังคงถือว่าการครอบครองไว้แทนตลอดมา จนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 หรือจนกว่าเจ้าของที่ดินพิพาทจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตามมาตรา 1377, 1379  การที่โจทก์รื้อบ้านไปในระยะเวลาห้ามโอน ผลก็เท่ากับการสละเจตนาครอบครองเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามโอนตกเป็นโมฆะเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการครอบครองแทนจึงไม่อยู่ในบังคับต้องฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2432/2538  จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเช่าจากโจทก์ จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง
          โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยเปลี่ยนเจตนาในการครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทจากจำเลย
          พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออาศัยอยู่ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ และมาตรา 12 บัญญัติให้บุคคลผู้อ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ ยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน มิฉะนั้นถือว่าสละสิทธิหรือประโยชน์นั้น เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ยันต่อรัฐได้ แต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยได้




กองมรดก


          มาตรา 1599  "เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
          ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น"

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2506 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 ทายาทย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกตั้งแต่เจ้ามรดกตาย  แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธินั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ก็ตาม 

          ความหมายของกองมรดก
          มาตรา 1600  "ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้"

          กองมรดกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1600  คือ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่างๆที่เจ้ามรดกมีอยู่ก่อนตาย




           กรณีทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่างๆที่เป็นกองมรดก หรือไม่เป็นกองมรดก
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2513   จำเลยทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ ส. โดยมิได้ตั้งใจยกให้โดยเสน่หา แต่กระทำไปเพื่อ ส. จะได้นำไปจำนองไว้กับสหกรณ์แล้วเอาเงินมาให้จำเลยใช้สอย นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เป็นผลให้ที่ดินพิพาทไม่เคยตกทอดเป็นของ ส. แต่ยังคงเป็นของจำเลยตลอดมา ฉะนั้นเมื่อ ส. ตายไปเสียก่อนที่จะนำที่ดินพิพาทไปจำนองสหกรณ์ที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่มรดก ส. ทายาท ส. ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10096/2557   ป. ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2544 แต่เหตุรับของโจรโฉนดที่ดินเลขที่ 19724 และฐานใช้เอกสารปลอมเกิดวันที่ 13 ธันวาคม 2539 ขณะที่ ป. ยังมีชีวิตอยู่ ป. จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2) สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัว ส่วนโจทก์ผู้สืบสันดานจะมีสิทธิฟ้องแทน ป. ได้ต่อเมื่อ ป. ได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แต่ตามฟ้องและทางพิจารณาได้ความว่า ขณะ ป. มีชีวิต ป. ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเมื่อ ป. ถึงแก่ความตาย โฉนดที่ดินเลขที่ 19724 ตกทอดแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ มาตรา 1600 นั้น เป็นกรณีทรัพย์มรดกของ ป. ตกทอดแก่ทายาท เป็นสิทธิในทางแพ่งเท่านั้น แม้หากโจทก์จะมีสิทธิได้รับมรดกของ ป. ก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ในทางอาญาดังกล่าว
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8445/2558   แม้ พ.ร.บ. จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 11 และมาตรา 12 กำหนดให้ทางราชการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ให้แก่สมาชิกนิคมที่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งสมาชิกสามารถนำหนังสือดังกล่าวไปขอออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่ภายในห้าปีนับแต่วันได้รับโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากตกทอดทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี เมื่อที่ดินพิพาทยังไม่มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นที่ดินของรัฐซึ่งราษฎรสามารถมีสิทธิครอบครองได้ และไม่มีกฎหมายห้ามโอนสิทธิครอบครองระหว่างราษฎรด้วยกัน เพียงแต่ราษฎรไม่สามารถยกการครอบครองขึ้นอ้างต่อรัฐได้เท่านั้น เมื่อราษฎรสามารถอ้างสิทธิครองครองยันกันระหว่างราษฎรด้วยกันได้ และสิทธิในการครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงถือเป็นทรัพย์มรดกอย่างหนึ่ง  หลังจาก ข. ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของสหกรณ์นิคมสวรรคโลก จำกัด และได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดิน (กสน.5) ถึงแก่ความตาย ทายาทของ ข. ตกลงให้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ใน กสน.5 ต่อมาจำเลยที่ 1 นำหนังสือดังกล่าวไปขอออกโฉนดจึงถือได้ว่าเป็นการดำเนินการแทนทายาทอื่น บันทึกข้อตกลงให้ความยินยอมในการแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่จำเลยที่ 1 และบรรดาทายาทของ ข. ตกลงทำขึ้นเพื่อแบ่งแยกที่ดินพิพาทกัน จึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาท ไม่ถือว่าเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายหรือมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตาม พ.ร.บ. จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12 ย่อมไม่มีผลเป็นโมฆะและสามารถบังคับกันได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11486/2556    แม้ขณะที่ ก. ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2540 ก. ยังไม่มีสิทธิได้รับจัดที่ดินและการชดเชยเพราะคณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติให้ผู้ที่ถูกน้ำท่วมอันเป็นผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสิรินธรได้รับสิทธิเช่นว่านั้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 สิทธิได้รับจัดที่ดินและการชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ ก. มีอยู่ในขณะถึงแก่ความตายและมิใช่เป็นมรดกของ ก. ผู้ตายก็ตาม แต่ ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะมรดก เป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งในอันที่จะใช้บังคับแก่สิทธิได้รับจัดที่ดินและการชดเชย ดังนั้น สิทธิได้รับจัดที่ดินและการชดเชยของ ก. จึงควรตกทอดได้แก่ทายาทของ ก. เสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดก เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปลอมคำขอสละมรดกสิทธิการได้รับจัดที่ดินและการชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 และใช้เอกสารปลอมดังกล่าว จนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมทั้งสามซึ่งเป็นบุตรของ ก. ไม่ได้รับเงินชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ โจทก์ร่วมทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของ ก. จึงได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกแล้ว โจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ซึ่งได้แก่การคืนทรัพย์สินอันโจทก์ร่วมทั้งสามต้องเสียไปจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกอันเป็นการกระทำละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์ รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7487/2538   จ.ครอบครองที่ดินโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงแก่ความตายเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จ. จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ดังกล่าวเป็นทรัพยสิทธิอันเป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทได้ตามมาตรา 1599 และ 1600 จึงตกทอดได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของ จ. แม้โจทก์มิได้ครอบครองต่อเนื่องในที่ดินที่ จ. ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ จ. ครอบครองมาโดยทางมรดก
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2537   ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย  ผู้ตายขายให้แก่จำเลยแม้การซื้อขายจะเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ามีเพียงสิทธิครอบครอง  การที่ผู้ตายขายให้จำเลยย่อมเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่ยึดถือเพื่อตนต่อไปแล้ว การครอบครองของผู้ตายจึงสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 จำเลยได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยนำเงินไปชำระหนี้แทนผู้ตายและรับ ส.ค.1 มาจากเจ้าหนี้ผู้ตายแล้วให้ ส. ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ย ถือได้ว่าเป็นการยึดถือเพื่อตนจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367  ที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นมรดกของผู้ตาย 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15972/2557  ในการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จ่ายเป็นรายเดือนมีกำหนด 8 ปี ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 18 (4) นั้น ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายกับผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนดังกล่าวจะตกลงกันจ่ายค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนหรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นก็ได้ตามมาตรา 24 แม้ บ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 (2) ได้ขอรับค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนจากจำเลยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรที่จะจ่ายค่าทดแทนให้ บ. คราวเดียวได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสิทธิที่สมควรได้รับตามแนวปฏิบัติการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) คราวเดียวเต็มจำนวน การที่ บ. ยอมรับค่าทดแทนจากจำเลยส่วนแรกเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งไปก่อนจึงถือเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ บ. เกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 24 มีผลทำให้ค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งของ บ. จะถึงกำหนดจ่ายหลังจากได้รับเงินครั้งแรกไปแล้ว 4 ปี
          แม้จะปรากฏต่อมาว่าสิทธิในการได้รับค่าทดแทนของ บ. ได้สิ้นสุดลงเพราะ บ. ถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม กรณีก็ต้องนำส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งดังกล่าวของ บ. ผู้หมดสิทธิไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไปตามมาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น สิทธิในการได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของ บ. แต่ก็มิใช่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิขอรับค่าทดแทนเมื่อถึงกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจากจำเลย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2506    เมื่อปรากฏว่าเงินทุนสงเคราะห์ (ท.ส.+.) ของผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟ เป็นเงินที่เก็บจากผู้ปฏิบัติงานร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน และการรถไฟจ่ายสมทบอีกมีจำนวนร้อยละ 10 ถ้าผู้ปฏิบัติงานต้องออกจากงาน นอกจากถูกไล่ออกก็ให้จ่ายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานรวมทั้งดอกเบี้ยและกองทุนจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นจำนวนเท่ากันนั้น เห็นได้ว่าเงินทุนสงเคราะห์นี้เป็นเงินที่ผู้ปฏิบัติงานมีสิทธิได้รับอยู่ก่อนแล้ว หากผู้นั้นตายลงก็ย่อมตกเป็นมรดก 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2515   เงินสะสมเป็นเงินที่ทางราชการหักเก็บไว้จากเงินเดือนของข้าราชการทุกเดือน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งจะจ่ายคืนเมื่อข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ เงินสะสมจึงเป็นมรดกของข้าราชการซึ่งถึงแก่ความตาย เพราะเป็นเงินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ถึงแก่ความตาย หากแต่ทางราชการยังไม่ได้จ่ายให้ เพราะยังไม่ถึงคราวที่จะต้องจ่าย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2516  บิดาเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารให้บุตรผู้เยาว์ โดยมอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตร แล้วบิดามารดาต่างได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวระคนปนกับเงินได้ของบุตร โดยมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากนั้นให้แก่บุตรดังนี้ เงินในบัญชีเงินฝากจึงเป็นของบุตรทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่บิดามารดาฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของบุตรทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้น ก็เป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคารซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1545 และ 1546  ก็บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วย มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายตามอำนาจ ที่บิดามอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรจึงเป็นเรื่องการมอบหมายให้มารดาทำหน้าที่แทนบิดาตามธรรมดานั่นเองมารดาหามีสิทธิถอนเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัวไม่


          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2535   เงินตามโครงการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานที่บริษัท ช.คิดให้ผู้ตาย 2.25 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้ายต่ออายุงาน 1 ปีนั้นถือได้ว่าเป็นเงินของผู้ตาย หากผู้ตายยังไม่ตายและออกจากบริษัทฯไป บริษัทฯ ก็ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่ผู้ตาย ดังนั้น เงินตามโครงการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานจึงเป็นมรดกของผู้ตายมิใช่สินสมรส ตามระเบียบข้อบังคับของบริษัท ช. ที่กำหนดให้เงินตามโครงการผลประโยชน์ดังกล่าวแก่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายครึ่งหนึ่ง กับบุคคลที่ถูกระบุไว้ในหนังสือรับรองทายาทอีกครึ่งหนึ่งนั้น เป็นระเบียบข้อบังคับที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลใช้บังคับได้ โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายจึงมีสิทธิรับเงินตามโครงการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานครึ่งหนึ่ง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2507  เงินช่วยเพื่อนครู(ช.พ.ค.) ซึงสมาชิกช่วยกันบริจาค เพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลืองานศพและครอบครัวของสมาชิกคนใดคนหนึ่งซึ่งถึงแก่กรรมลงนั้น ไม่ใช่กองมรดกของผู้ตาย ผู้ตายจึงทำพินัยกรรมยกให้ใครไม่ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4/2505  บำนาญตกทอดไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะตาย จึงไม่เป็นมรดก ฉะนั้น การที่ผู้จัดการมรดกฟ้องศาลให้พิพากษาให้ตนมีสิทธิเรียกบำนาญตกทอดจัดการมรดกจึงปราศจากมูลตามกฎหมายที่จะอ้างอิง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2525  เงินบำเหน็จที่จะตกได้แก่บรรดาทายาทผู้มีสิทธิของผู้ตาย ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ พ.ศ.2494 นั้น มิใช่มรดกของผู้ตาย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2524  ในวันที่นาย ก. ถึงแก่ความตายโจทก์เป็นบุตรนอกสมรสยังมิได้มีฐานะเป็นทายาทของนาย ก. แม้ภายหลังจะมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ก็ย่อมไม่มีผลย้อนหลัง โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับส่วนแบ่งในเงินสงเคราะห์ตกทอดจากการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยซึ่งมีข้อบังคับให้ตกทอดแก่ทายาทโดยอนุโลมตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1558 เป็นกรณีที่ให้สิทธิแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายโดยคำพิพากษาภายหลังการตายของเจ้ามรดก รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นเรื่องของการรับมรดกโดยตรง เมื่อเงินสงเคราะห์ตกทอดไม่ใช่มรดกจะนำมาตรา 1558 มาบังคับแก่กรณีของโจทก์ไม่ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 139/2530  สิทธิในเงินบำเหน็จเพื่อสงเคราะห์พนักงานไฟฟ้านครหลวงตกได้แก่ทายาทเนื่องจากการตายของพนักงาน ไม่ใช่ทรัพย์สินที่พนักงานมีอยู่ในระหว่างมีชีวิตหรือมีอยู่ขณะตาย เงินจำนวนนี้จึงไม่เป็นมรดกของผู้ตาย เมื่อตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนเงินบำเหน็จพนักงานระบุให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพนักงานที่ตาย จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้การไฟฟ้านครหลวงจ่ายเงินบำเหน็จดังกล่าวให้แก่โจทก์
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3656/2557  เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายนั้น พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ได้บัญญัติให้จ่ายแก่บุคคลตามมาตรา 73 (2) และทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา 77 จัตวา ตามลำดับ เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้ว อีกทั้งประโยชน์ทดแทนในกรณีดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายได้มาเนื่องจากความตายหรือได้มาภายหลังที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ประกันตนโดยแท้ ไม่เป็นทรัพย์มรดก  โจทก์เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ประกันตน ไม่ใช่บุคคลและทายาทผู้มีสิทธิตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 (2), 77 จัตวา จึงไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าว
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4772/2531  การที่ ร.ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันหนี้ของจำเลยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ร.จะพ้นความรับผิดก็ต่อเมื่อจำเลยกลับเป็นฝ่ายชนะคดีหรือจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเท่านั้น ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด ร.ไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาค้ำประกันโดยที่โจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยเพราะมิใช่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ ซึ่งผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 699 และแม้ ร.จะถึงแก่กรรมไปก่อนที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้น โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาแก่ที่ดินอันเป็นกองมรดกของ ร.ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2521  โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายร่วมกับนายจิตติ สามี และร่วมกับสามีเป็นผู้ทรงเช็ค 2 ฉบับตามฟ้อง  เมื่อสามีตายโจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของสามีต่อศาล ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินในฐานะที่โจทก์มีส่วนแบ่งในทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับสามี เนื่องจากการตายของสามีประการหนึ่ง และในฐานะคู่สมรสซึ่งโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมในการรับมรดกส่วนของสามีอีกประการหนึ่ง  เมื่อหนี้เงินตามเช็คเป็นทรัพย์สินที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในฐานะภริยาและเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2522   การสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้านั้นหมายความเพียงว่า ผู้ทรงมีสิทธิเบิกเงินตามเช็คจากธนาคารได้ต่อเมื่อถึงวันที่กำหนดในเช็คเท่านั้น แม้ผู้สั่งจ่ายจะถึงแก่กรรมไปก่อนวันเช็คถึงกำหนด ก็หาทำให้ผุ้สั่งจ่ายที่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็คนั้นหลุดพ้นความรับผิดไปได้ไม่ หน้าที่และความรับผิดตามเช็คนั้นย่อมยังคงตกอยู่แก่กองมรดกของผู้สั่งจ่ายนั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2519   เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ น. สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันเมื่อตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์โดยฐานเป็นผู้รับเงิน โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 และ น. เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามมาตรา 900 ที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า น. สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ (ต่อมา น.ถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้จำเลยในฐานะทายาทผู้รับมรดกชำระหนี้) แต่จำเลยปฏิเสธนั้นจะเท็จจริงอย่างไรไม่สำคัญ เพราะเป็นรายละเอียดไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คมาอย่างไร เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกโดยมีมูลหนี้แม้มิได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ในฐานะผู้ทรงก็ชอบที่จะลงวันที่ได้ไม่เป็นการฉ้อฉล  จำเลยทั้งสองในฐานะผู้รับมรดกของ น. จึงต้องร่วมกันใช้เงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516  สัญญาเช่าซื้อก็คือสัญญาเช่าทรัพย์บวกด้วยคำมั่นจะขายทรัพย์สินนั้นสัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวผู้เช่า คำมั่นจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าเป็นสิทธิในทรัพย์สินซึ่งอาจตกเป็นมรดกของคู่สัญญาที่ถึงแก่กรรมได้
          คู่สัญญาทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีข้อสัญญาระบุว่า  ให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรมและผู้เช่าซื้อได้ระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อไว้แล้วข้อสัญญาดังกล่าวนี้เป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374  ฉะนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม  และทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานี้ต่อผู้ให้เช่าซื้อตามมาตรา 374 วรรค 2 แล้วสิทธิในการเช่าซื้อจึงตกเป็นของทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ตกเป็นมรดกของผู้ตายต่อไป
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/2515  ผู้ตายเป็นสมาชิกขององค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขระบุชื่อ ส.  บิดาเป็นผู้รับประโยชน์เงินสังขารานุเคราะห์ไว้ ตามข้อบังคับ  ย่อมมีผลว่ากรมไปรษณีย์โทรเลขโดยองค์การดังกล่าวได้ทำสัญญาว่าจะชำระหนี้แก่ ส. บุคคลภายนอกสิทธิของ ส. จะเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น  เมื่อ ส. ตายเสียก่อนโดยมิได้แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาสิทธิของ ส. ในเงินสังขารานุเคราะห์จึงยังไม่เกิดขึ้นและไม่อาจตกทอดเป็นทรัพย์มรดกไปยังทายาทของ ส.
          เงินสังขารานุเคราะห์เป็นเงินที่ผู้รับประโยชน์จะได้รับหลังจากที่สมาชิกขององค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขถึงแก่ความตายแล้ว  มิใช่ทรัพย์สินที่สมาชิกผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ถึงแก่ความตาย  จึงไม่เป็นมรดกของผู้ตาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 132/2507)
          ตามข้อบังคับกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อสมาชิกตาย ให้จ่าย เงินสังขารานุเคราะห์แก่ผู้รับประโยชน์ซึ่งสมาชิกผู้ตายได้ระบุชื่อไว้แต่เมื่อผู้รับประโยชน์นั้นตายก่อนสมาชิก ย่อมไม่มีตัวผู้รับประโยชน์ที่จะรับเงินสังขารานุเคราะห์ได้ตามข้อบังคับ แม้เงินสังขารานุเคราะห์จะมิใช่ทรัพย์มรดกของสมาชิกผู้ถึงแก่ความตายแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะมรดกเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในอันที่จะใช้บังคับเงินสังขารานุเคราะห์ดังกล่าวจึงควรจ่ายให้แก่ทายาทโดยธรรมของสมาชิกผู้ตาย เสมือนหนึ่งทรัพย์มรดก
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2548  โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทโดยได้รับมรดกจาก ป. ซึ่ง ป. ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาท กำหนดอายุสัญญาเช่า 15 ปี โดยมีข้อตกลงในสัญญาเช่าข้อ 11 ระบุว่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้วผู้ให้เช่าจะต่อสัญญาเช่าให้ทุกๆ 3 ปี ซึ่งข้อความตามข้อตกลงดังกล่าว เป็นเพียงคำมั่นของ ป. ว่าจะให้ผู้เช่าต่ออายุสัญญาครั้งต่อไปเท่านั้น ยังไม่ก่อให้เกิดสัญญา แต่คำมั่นนี้ยังไม่มีผลผูกพัน ป. เพราะยังไม่ได้ความว่าจำเลยได้สนองรับก่อน ป. ถึงแก่ความตายทั้งเมื่อจำเลยได้รู้อยู่ว่า ป. ผู้เสนอตายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 ก่อนสัญญาเช่าจะครบกำหนดคือวันที่ 31 ธันวาคม 2538 กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 360 ซึ่งบัญญัติว่าห้ามมิให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองมาใช้บังคับ ดังนั้น คำมั่นของ ป. ดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับและไม่เป็นมรดกตกทอดอันจะผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นทายาทที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 1599 และมาตรา 1600 หนังสือขอต่อสัญญาของจำเลยจึงไร้ผล และไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าใหม่ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าและฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากตึกพิพาทได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2542  เงินชดเชยที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ. และได้รับมาหลังจาก ณ.ถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยา ทั้งสิทธิที่จะได้เงินค่าชดเชยนี้มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ.ได้มีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรม จึงมิใช่เป็นทรัพย์มรดกของ ณ. เมื่อระเบียบของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างกำหนดให้ต้องนำเงินชดเชยมาหักหนี้สินที่ ณ.สามีโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างมีต่อจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิที่จะหักหนี้ดังกล่าวได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อน
          ป.พ.พ.มาตรา 1625 เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแยกเป็นมรดกของผู้ตายกับทรัพย์สินของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วนำมรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่ทายาทเท่านั้นหาใช่เป็นการกำหนดให้ต้องมีการนำมรดกของผู้ตายมาชดใช้สินสมรสของคู่สมรสของผู้ตายไม่
          สิทธิในการได้รับเงินเพื่อนช่วยเพื่อนเกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ.ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ.มีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่ความตาย แม้วิธีการที่จะได้รับเงินจำนวนนี้มาผู้ตายจะต้องเคยชำระเงินในอัตรา 10 บาท ต่อผู้เสียชีวิต 1 ราย ร่วมกับพนักงานของจำเลยที่ 2 คนอื่นๆ เพื่อรวบรวมนำส่งให้แก่ทายาทของพนักงานผู้ถึงแก่ความตายรายก่อนๆ ก็ตาม ก็มิใช่เป็นมรดกของ ณ. ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของ ณ.จึงไม่มีสิทธิมาขอแบ่ง
          เงินประกันชีวิตเป็นเงินที่เกิดจากสัญญาระหว่าง ณ.กับบุคคลภายนอกและจำเลยที่ 2 เพื่อให้ใช้เงินแก่ผู้รับประโยชน์ คือ จำเลยที่ 1 สืบเนื่องจากความมรณะของ ณ.อันมีลักษณะเป็นการประกันชีวิต สิทธิตามสัญญาเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกันชีวิตถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดกของ ณ.ที่มีอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย แม้สัญญาประกันชีวิตที่ ณ.ระบุให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่คู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์อันต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 897 วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่าเฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วนั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกเอาเบี้ยประกันภัยจำนวนดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องเพื่อเรียกเงินประกันชีวิตว่าโจทก์มีสิทธิกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของ ณ.ที่จะตกแก่ทายาท ดังนี้ฎีกาของโจทก์ในส่วนเบี้ยประกันภัย จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 919/2495  เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรมสิทธิ์ในทางทรัพย์สินของผู้ตายย่อมตกทอดได้แก่ทายาททันที  ฉะนั้นทายาทจึงมีสิทธิที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินที่ผู้ตายขายฝากไว้ได้  โดยไม่ต้องรอให้รับโอนมรดกก่อน
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212-213/2525  สิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 443 นั้นได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นทายาท เพราะการปลงศพนั้นเป็นหน้าที่ของทายาทตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 649  ภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ทายาท จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง เอาค่าปลงศพ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2514  ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง หมายความเฉพาะผู้ที่เป็นทายาทของผู้ตายที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่กระทำละเมิด ทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเพราะสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยเหตุที่ได้ละเมิดแก่เจ้ามรดกตกทอดมายังตนผู้เป็นทายาทภายใต้บังคับของมาตรา 1649 เท่านั้น มิได้หมายความว่าใครทำศพผู้ตายแล้วก็จะมีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพในลักษณะที่เป็นค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดเสียเองได้เสมอไป เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาทผู้ตายเพราะไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการปลงศพเป็นค่าสินไหมทดแทนแก่ตนในการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตาย (อ้างฎีกาที่ 1314/2505)
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2556  ก่อน ป. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายได้ทำหนังสือให้ความยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้บัตรเครดิตของ ม. แม้ ม. จะเป็นหนี้จากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ ป. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายและหนี้ดังกล่าวไม่ระงับลงเพราะความตายของ ป. เจ้ามรดกก็ตาม แต่การที่จำเลยจะใช้สิทธิและอำนาจในการหักเงินจากบัญชีเงินฝากของ ป. เจ้ามรดก จำเลยจะต้องดำเนินการในระหว่างที่หนังสือให้ความยินยอมมีผลใช้บังคับ หาใช่จะใช้สิทธิและอำนาจตามอำเภอใจเมื่อใดก็ได้ เมื่อหนังสือให้ความยินยอมทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยออกให้แก่ ม. โดยสภาพจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ ป. เจ้ามรดก เมื่อ ป. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย หน้าที่และความรับผิดตามหนังสือให้ความยินยอมย่อมสิ้นสุดลงหาเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทไม่ จำเลยจะอาศัยแสวงสิทธิจากหนังสือให้ความยินยอมหักเงินจากบัญชีเงินฝากของ ป. เจ้ามรดกหลังจาก ป. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายหาได้ไม่ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าจำเลยจะทราบเรื่องที่ ป. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ การที่จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของ ป. เจ้ามรดกชำระหนี้บัตรเครดิตของ ม. จึงเป็นการไม่ชอบ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16040/2555  ป.พ.พ. มาตรา 1598/41 กำหนดถึงสิทธิของผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาว่าจะสละหรือโอนไม่ได้ และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี สิทธิหน้าที่เกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ทรงสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวเช่นกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวก็เป็นอันสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังทายาท เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นบิดาถึงแก่ความตายไปแล้วสภาพบุคคลของโจทก์ก็หมดสิ้นไป ภาระหน้าที่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นับแต่มีคำพิพากษาจนบุตรบรรลุนิติภาวะจึงยุติไปด้วย แม้โจทก์จะทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทไว้ก็ตาม หน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ก็ไม่ตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และมาตรา 1600 กองมรดกของโจทก์ไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้แก่จำเลยอีกต่อไป
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2554   ส. ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ป. ไปจดทะเบียนขายที่ดิน แต่ตราบใดที่ยังมิได้ไปจดทะเบียนขายที่ดิน การขายก็ยังไม่มีขึ้นโดยสมบูรณ์ เพราะยังไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง เมื่อ ส. ถึงแก่ความตาย หนังสือมอบอำนาจย่อมสิ้นผล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 826 วรรคสอง การที่ ป. นำหนังสือมอบอำนาจที่สิ้นผลแล้วไปดำเนินการจดทะเบียนขายที่ดินหลังจาก ส. ถึงแก่ความตายแล้ว จึงไม่มีผลให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนกองมรดกของ ส. เพื่อประโยชน์ของทายาทต่อไป



การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร

          เด็กที่เกิดย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงซึ่งเป็นมารดานั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1546 แต่สำหรับฝ่ายชายนั้นในกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 มาตรา 1537 หรือมาตรา 1538 ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีจะไม่รับเด็กเป็นบุตรของตนก็ได้ โดยฟ้องเด็กกับมารดาเด็กร่วมกันเป็นจำเลยและพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ได้อยู่ร่วมกับมารดาเด็กในระยะเวลาตั้งครรภ์คือระหว่างหนึ่งร้อยแปดสิบวันถึงสามร้อยสิบวันก่อนเด็กเกิด หรือตนไม่สามารถเป็นบิดาของเด็กได้เพราะเหตุอย่างอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1539


          กรณีฝ่ายชายฟ้องคดีเอง

          เด็กที่เกิดระหว่างสมรส หรือภายใน 310 วันนับแต่การสมรสสิ้นสุดลง เด็กที่เกิดจากการสมรสของหญิงหม้ายที่สมรสใหม่ก่อนครบกำหนด 310 วันนับแต่วันที่ขาดจากการสมรสเดิม หรือเด็กที่เกิดจากการสมรสที่เป็นโมฆะ ซึ่งกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีนั้น สามีมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับว่าเป็นบุตรของตนได้ โดยการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร โดยวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา 1539 ดังนี้
          ก. ถ้าเด็กและมารดาเด็กยังมีชีวิตอยู่ ต้องฟ้องเด็กและมารดาเด็กเป็นจำเลยร่วมกัน
          ข. ถ้ามารดาเด็กไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะฟ้องเด็กผู้เดียวเป็นจำเลยก็ได้
          ค. ถ้าเด็กไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่ามารดาเด็กจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ให้ใช้วิธียื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าเด็กนั้นไม่ใช่บุตรของตน
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2547  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ การที่โจทก์จะฟ้องคดีไม่รับจำเลยที่ 2 เป็นบุตร โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าโจทก์ไม่ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 มารดาจำเลยที่ 2 ในเวลาตั้งครรภ์คือระหว่างหนึ่งร้อยแปดสิบวันถึงสามร้อยสิบวันก่อนจำเลยที่ 2 เกิดหรือโจทก์ไม่สามารถเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้เพราะเหตุอย่างอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1539 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2542 แต่โจทก์สืบแต่เพียงว่าไม่ได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา อันเป็นการนำสืบลอย ๆ การนำสืบของโจทก์ยังไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1539 วรรคหนึ่ง ที่ให้สันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์

          ข้อยกเว้นห้ามชายฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร
          ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรไม่ได้ ถ้าปรากฏว่าตนเป็นผู้แจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตน หรือจัดหรือยอมให้มีการแจ้งดังกล่าว ตามมาตรา 1541
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2542 บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 หมายถึงชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1539 ซึ่งเป็นกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 และ 1537 หรือมาตรา 1538 โจทก์เป็นบุตรของ ร.และ อ.ซึ่งมีตัวตนแน่นอน ส.และ สค. ไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์โดยแท้จริง การที่ ส.ไปแจ้งการเกิดลงในสูติบัตรของโจทก์ว่า บิดาโจทก์เป็นคนไทย มารดาเป็นคนกัมพูชาเมื่อมีบุตรขึ้นมาก็แจ้งเกิดไม่ได้ ส. จึงรับสมอ้างไปแจ้งเกิดแทน โดยระบุว่าเป็นบิดาดังนี้ เป็นคนละเรื่องกับกรณีการแจ้งเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของ ส. จึงไม่ใช่บุตรนอกกฎหมายตามความเป็นจริงที่บิดาได้รับรองแล้ว ทั้งไม่ใช่ ผู้สืบสันดานและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 และ 1629(1) โจทก์จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของ ส. ผู้ตาย และไม่มีอำนาจฟ้อง

          ระยะเวลาในการฟ้องคดี
          มาตรา 1542  "การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันรู้ถึงการเกิดของเด็ก แต่ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันเกิดของเด็ก
          ในกรณีที่มีคำพิพากษาของศาลแสดงว่าเด็กมิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีคนใหม่ตามมาตรา 1537 หรือชายผู้เป็นสามีในการสมรสครั้งหลังตามมาตรา 1538 ถ้าชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีซึ่งต้องด้วยบทสันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของตนตามมาตรา 1536 ประสงค์จะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ให้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้ว่ามีคำพิพากษาถึงที่สุด"



          กรณีทายาทผู้มีส่วนได้เสียฟ้องคดีแทน

          ตามมาตรา 1544 ให้อำนาจทายาทผู้มีส่วนได้เสียฟ้องคดีแทนชายได้ หากชายได้ถึงแก่ความตายไปก่อน แต่บุคคลเช่นว่านี้ต้องเป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับเด็กหรือผู้จะเสียสิทธิรับมรดกเพราะการเกิดของเด็ก และจะฟ้องได้เฉพาะใน 2 กรณีดังนี้ คือ
          (1) ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีตายก่อนพ้นระยะเวลาที่ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีจะพึงฟ้องได้
          (2) เด็กเกิดภายหลังการตายของชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามี
          ทั้งนี้ การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรในกรณี (1) ต้องฟ้องภายในหกเดือนนับแต่วันที่รู้ถึงการตายของชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามี และการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรในกรณี (2) ต้องฟ้องภายในหกเดือนนับแต่วันที่รู้ถึงการเกิดของเด็ก แต่ไม่ว่าเป็นกรณีใด ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันเกิดของเด็ก          

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7069/2559  การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีมีสิทธิโต้แย้งว่า เด็กมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของตนได้ แต่ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตาม ป.พ.พ. 1542 แต่บทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้สงวนไว้ใช้เฉพาะชายผู้ถูกอ้างว่าเป็นบิดาเด็กเท่านั้น เมื่อ ด. ผู้ถูกอ้างว่าเป็นบิดาของจำเลยถึงแก่ความตายไปก่อนที่มีการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ป.พ.พ. 1545 ได้เปิดช่องให้ผู้มีส่วนได้เสียฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรได้ อันได้แก่ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับเด็ก หรือผู้ที่จะเสียสิทธิรับมรดกเพราะการเกิดของเด็ก เมื่อโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด. โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร แต่ทั้งนี้ก็มีกำหนดระยะเวลาที่โจทก์จะใช้สิทธิทางศาลตามมาตรา 1544 (1) คือ ในกรณีที่ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีตายก่อนพ้นระยะเวลาที่ชายผู้เป็นสามีจะพึงฟ้อง ซึ่งมาตรา 1542 กำหนดระยะเวลาไว้ว่า ชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้ถึงการเกิดของเด็ก แต่ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันเกิดของเด็ก ดังนั้นเมื่อ ด. เป็นผู้ไปแจ้งเกิดว่า จำเลยเกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2512 เท่ากับอย่างน้อย ด. ต้องฟ้องภายใน 10 ปี นับแต่วันเกิดของจำเลย คืออย่างช้าในวันที่ 30 เมษายน 2522 การที่ ด. ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2544 ด. จึงไม่ได้ตายก่อนพ้นระยะเวลาที่จะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามเงื่อนไขแห่งมาตรา 1544 (1) เมื่อ ด. ซึ่งเป็นบิดายังไม่มีอำนาจฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของ ด. แม้เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายก็ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยมิใช่บุตรของ ด. เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)


           กรณีการฟ้องคดีปฏิเสธความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

           เป็นกรณีที่เด็กปฏิเสธความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีของมารดาตนได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1545 ซึ่งถือว่าเป็นคดีที่บุตรฟ้องบุพการี เป็นคดีอุทลุม จึงฟ้องเองไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 1562 เด็กจะต้องร้องขอให้พนักงานอัยการเป็นผู้ดำเนินการฟ้องคดีแทน ซึ่งต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่บรรลุนิติภาวะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามห้ามฟ้องคดีเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่เด็กบรรลุนิติภาวะ




การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร


          กฎหมายได้วางข้อสันนิษฐานว่า เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่มาตรา 1555 วรรคหนึ่งกำหนดไว้ จึงเป็นหน้าที่ของชายที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นบิดาของเด็กจะต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานกฎหมายเช่นว่านี้ ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าวมีอยู่ 7 ประการ กล่าวคือ

          (1) เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
          ระยะเวลาที่หญิงอาจตั้งครรภ์ได้ คือ ระยะเวลา 180 วัน ถึง 310 วันก่อนเด็กเกิด ถ้าในระหว่างนี้มีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงโดยมิชอบด้วยกฎหมายจนหญิงนั้นตั้งครรภ์ ก็เข้าตามข้อสันนิษฐานข้อนี้

          (2) เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาวหรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
          การลักพาหรือการล่อลวงตามข้อนี้ ต้องอยู่ในระยะเวลาที่หญิงอาจตั้งครรภ์ได้เช่นเดียวกัน คือ ระยะเวลา 180 วัน ถึง 310 วันก่อนเด็กเกิด

          (3) เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน
          เอกสารที่แสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตร ต้องมีความชัดแจ้ง ซึ่งเอกสารดังกล่าวบิดาจะตั้งใจทำขึ้นหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ


          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2536  โจทก์คลอดเด็กหญิง บ. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้งในระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 และจัดการให้โจทก์ไปอยู่กับเพื่อนของจำเลยที่กรุงเทพมหานคร จากนั้นจำเลยไปเยี่ยมโจทก์หลายครั้งพาโจทก์ไปหาแพทย์และเขียนจดหมายถึงโจทก์หลายฉบับมีข้อความที่แสดงว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร่วมประเวณีกับชายอื่น ย่อมมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเด็กหญิง บ. มิได้เป็นบุตรของชายอื่น โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลยได้ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557(3) ดังนั้น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจะต้องกำหนดให้นับแต่วันดังกล่าวมิใช่นับแต่วันฟ้อง จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าควรกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูเท่าไร ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ชำระตามที่ศาลล่างกำหนดคือเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าบุตรจะมีอายุครบ 10 ปีบริบูรณ์ หลังจากนั้นให้ชำระเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ โดยให้จำเลยชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียว
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2698/2536  ผู้ตายได้ทำบันทึกมีข้อความระบุว่า ผู้ร้องยินยอมรับเงินจำนวน 15,000 บาท เป็นค่าทดแทนกรณีที่ผู้ร้องมีบุตรกับผู้ตาย โดยผู้ร้องลงลายมือชื่อในฐานะผู้ให้สัญญา ส่วนผู้ตายลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับสัญญา บันทึกดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเอกสารของผู้ตายที่ยอมรับว่าเด็กหญิง ม. เป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555(3) แล้ว

          (4) เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5335/2542  ผู้ตายและนาง บ. เป็นสามีภริยากันโดยมีนาง ค. ซึ่งเป็นบุตรของนาง บ.กับสามีเก่าพักอาศัยอยู่ด้วย นาง ค. คลอดผู้ร้องแล้วผู้ตายถึงแก่กรรม โดยผู้ตายมิได้เป็นผู้ไปแจ้งการเกิดผู้ร้อง จึงไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายรับผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555(4) นาง ค. พักอาศัยในฐานะที่เป็นบุตรสาวของนาง บ. มิใช่ในฐานะภริยาของผู้ตาย การที่ผู้ร้องใช้นามสกุลของผู้ตายก็เพราะสูติบัตรของผู้ร้องระบุว่าผู้ร้องเป็นบุตรของผู้ตายกับนาง บ. หาใช่เพราะผู้ตายยอมให้ใช้นามสกุลของตนเพราะเหตุที่ผู้ร้องเป็นบุตรของนางค.ไม่ จึงฟังไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าผู้ร้องเป็นบุตรผู้ตายที่เกิดจากนาง ค. ไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายรับผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555(7)
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4141/2535  จำเลยเคยร่วมประเวณีกับโจทก์ และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2529 โจทก์คลอดเด็กหญิง ธ. ผู้เยาว์ ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2529 โจทก์ได้ไปแจ้งการเกิดของผู้เยาว์ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี โดยนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุบลราชธานี เป็นผู้สอบสวนพยานหลักฐานไว้ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2  ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการที่โจทก์ไปแจ้งเกิดผู้เยาว์จึงอยู่ในความรู้เห็นยินยอมของจำเลย ซึ่งเมื่อฟังประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าโจทก์จำเลยได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอย่างเปิดเผยในระยะเวลาที่โจทก์อาจตั้งครรภ์เด็กหญิง ธ. ได้แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า เด็กหญิง ธ. เป็นบุตรของโจทก์ที่เกิดกับจำเลย

          (5) เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2525  ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของจำเลยซึ่งเกิดจากนาง ส. โดยจำเลยกับนาง ส. ได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งนาง ส. มารดาโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยไม่ได้บังคับให้นาง ส. ทำหนังสือรับรองว่าโจทก์ทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลย และไม่ได้บังคับให้นาง ส. ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปยื่นคำร้องขอเพิกถอนหลักฐานทะเบียนบ้าน แต่นาง ส. กระทำด้วยความสมัครใจ ย่อมสมบูรณ์และบังคับได้ตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของจำเลยซึ่งมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรับโจทก์เป็นบุตร ถึงแม้นาง ส. มารดาโจทก์จะทำหนังสือรับรองว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลยและทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปยื่นคำร้องขอเพิกถอนหลักฐานทะเบียนบ้านด้วยความสมัครใจ ก็หามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของโจทก์ไม่"
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2533  จำเลยกับมารดาโจทก์รู้จักกันมาก่อนเป็นเวลานานโดยมารดาโจทก์ทำงานเป็นหญิงพาร์ตเนอร์อยู่ที่นครถ้ำไนท์คลับ จำเลยก็เบิกความรับว่ารู้จักกับมารดาโจทก์มาประมาณ 20 ปี จำเลยไปเที่ยวที่ไนท์คลับดังกล่าวและเคยพามารดาโจทก์ไปร่วมหลับนอนด้วย เมื่อมารดาโจทก์คลอดบุตรคือตัวโจทก์แล้วได้มีการแจ้งในใบสูติบัตรว่า บิดาโจทก์ชื่อ ป. อันเป็นชื่อของจำเลยและแจ้งนามสกุลโจทก์เป็นนามสกุลของจำเลยปรากฏตามใบสูติบัตรแจ้งการเกิดจากโรงพยาบาลตามระเบียบของทางราชการ ซึ่งผู้แจ้งจะต้องนำหลักฐานทางทะเบียนของมารดาเด็กและบิดาเด็กไปแสดงเพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ลงทะเบียนได้ถูกต้อง หลักฐานดังกล่าวได้แก่บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านลักษณะการแจ้งเกิดที่บ้านกับที่โรงพยาบาลไม่แตกต่างกัน ใช้เอกสารอย่างเดียวกันแสดงว่าการแจ้งเกิดตามใบสูติบัตรของโจทก์ดังกล่าวมีหลักฐานการแจ้งเกิดตามระเบียบโดยถูกต้องบ่งชี้โดยแน่ชัดว่าจำเลยเป็นบิดาของโจทก์จริง

          (6) เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2536  โจทก์คลอดเด็กหญิง บ. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 ก่อนโจทก์คลอดบุตรดังกล่าว จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้ง โดยโจทก์ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์เนื่องจากจำเลยต้องการมีบุตรกับโจทก์ เพราะภรรยาของจำเลยไม่สามารถมีบุตรได้จนโจทก์ตั้งครรภ์และโจทก์ได้บอกให้จำเลยทราบ จำเลยเกรงว่าภรรยาของจำเลยจะทราบเรื่อง จึงจัดการให้โจทก์ไปอยู่กับเพื่อนของจำเลย จากนั้นจำเลยได้ไปเยี่ยมโจทก์หลายครั้งและพาโจทก์ไปหาแพทย์ด้วย นอกจากนี้จำเลยยังได้เขียนจดหมายถึงโจทก์หลายฉบับซึ่งเป็นข้อความที่แสดงว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ไปร่วมประเวณีกับชายอื่น คดีจึงรับฟังได้ว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย

          (7) เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2549  ผู้ร้องเป็นบุตรสืบสายโลหิตของ ป. ป. แสดงออกต่อญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่บ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาของมารดาผู้ร้อง มิได้แสดงออกต่อญาติข้างบิดาหรือเพื่อนบ้านแถวบ้านพักของ ป. ซึ่งอยู่ต่างท้องที่กันว่าผู้ร้องเป็นบุตร ก็ถือได้ว่าพฤติกรรมที่รู้กันอยู่ทั่วไปตลอดเวลาว่าผู้ร้องเป็นบุตร ป. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1555 (7) แล้ว
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2538  ม.และโจทก์ที่ 1 ได้แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรโดยให้ความอุปการะเลี้ยงดูให้ใช้นามสกุลเดียวกัน เป็นพฤติการณ์ที่รู้กันโดยทั่วไปตลอดมาว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตร โจทก์ที่ 1 จึงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของ ม. แต่เมื่อ ม.ซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามรดกตายไปก่อนเจ้ามรดก โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกแทนที่ ม.ได้


          การฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1556 กำหนดไว้ดังนี้
          ก. ถ้าเด็กยังเป็นผู้เยาว์และยังมีอายุยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน ในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้
          ข. เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง  ทั้งนี้ โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
          ค. กรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ
          ง. กรณีที่เด็กตายในระหว่างที่เด็กนั้นยังมีสิทธิฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรอยู่ ผู้สืบสันดานของเด็กจะฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก็ได้ ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรมาก่อนวันที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรภายหลังที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้เหตุดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ต้องไม่พ้นสิบปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย

          กฎหมายกำหนดเวลาไว้ชัดเจนว่าการฟ้องให้รับเด็กเป็นบุตรต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เด็กนั้นบรรลุนิติภาวะ ถ้าฟ้องเกินกำหนด 1 ปี ย่อมต้องห้ามตามมาตรา 1556
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9574/2551  ผู้ร้องบรรลุนิติภาวะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 แต่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ป. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2549 จึงเกินกำหนด 1 ปี นับแต่ผู้ร้องบรรลุนิติภาวะ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1556 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้องขอ) ดังนั้นปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบุตรของ ป. หรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย หากผู้ร้องเห็นว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในการรับมรดกของ ป. อย่างไร ผู้ร้องต้องไปใช้สิทธิทางศาลอย่างคดีมีข้อพิพาทต่อไป
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4786/2549  การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร ป.พ.พ. มาตรา 1556 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่เด็กบรรลุภาวะแล้วจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ปรากฏตามสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านว่า ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2512 ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2546 ขณะผู้ร้องมีอายุได้ 34 ปี จึงเป็นการยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คดีของผู้ร้องจึงขาดอายุความ แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ตายไม่เคยปฏิเสธว่าผู้ร้องมิใช่บุตรไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายจนเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ร้องไปติดต่อขอรับเงินสงเคราะห์ครอบครัวสมาชิกคุรุสภา (ช.พ.ค.) แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ อ้างว่าไม่มีหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย นับเป็นเหตุขัดข้องโดยเพิ่งเกิดการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องใช้สิทธิทางศาลขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ก็ตาม แต่การใช้สิทธิทางศาลของผู้ร้องก็ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเรื่องอายุความดังกล่าวด้วย ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ร้องเพิ่งถูกโต้แย้งสิทธิ คดียังไม่ขาดอายุความหาได้ไม่


          ผลของการที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

          เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเด็กเป็นบุตรแล้ว การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชาย ให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่เด็กเกิด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้ ตามมาตรา 1557
          แต่หากฝ่ายชายผู้เป็นบิดาถึงแก่ความตายไปแล้วจึงมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเด็กเป็นบุตรของชายผู้ตายในภายหลังเช่นนี้ มาตรา 1558 ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรของผู้ตายที่ได้ฟ้องภายในกำหนดอายุความมรดก ถ้าต่อมาศาลได้พิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เด็กนั้นมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8504/2544  การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1555 หากบิดามีชีวิตอยู่ต้องดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทคือฟ้องบิดาโดยเสนอข้อหาทำเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แต่ถ้าบิดาถึงแก่ความตายไปแล้วต้องดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทคือให้เริ่มคดีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาลตามมาตรา 188 (1)