สัญญาจำนองมีข้อตกลงว่า
หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นจนกว่าจะครบนั้น
กรณีที่หนี้ที่จำนองเป็นประกันนั้นขาดอายุความแล้ว ถ้าผู้รับจำนองฟ้องบังคับจำนอง
ได้เงินไม่พอชำระหนี้ จะบังคับจากทรัพย์สินอื่นของผู้จำนองได้หรือไม่
เรื่องนี้ได้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินเอาไว้ครับ ดังนี้
ธนาคารเป็นโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน
2539 นางเหลืองทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 490,000 บาท
เพื่อไถ่ถอนห้องชุดตกลงยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี
หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งโจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตรา
ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้น
โดยโจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้นางเหลืองทราบล่วงหน้า
ทั้งนี้นางเหลืองจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ
7,550
บาท ภายในทุกวันที่ทำสัญญากู้เงิน
เริ่มชำระตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ทำสัญญากู้เงินเป็นต้นไป
โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี
เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์นางเหลืองได้นำห้องชุดเลขที่
181/151
จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 490,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19
ต่อปี
โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้
นางเหลืองยอมรับผิดชำระเงินส่วนที่ขาดจนครบถ้วน
นอกจากนี้นางเหลืองยังสัญญาจะทำประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และนางเหลืองเป็นผู้ออกเงินค่าเบี้ยประกันภัยตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จนครบถ้วน
นับแต่นางเหลืองได้กู้เงินไปจากโจทก์ได้ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ค้างชำระหนี้ติดต่อกันหลายงวดโดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่
26 พฤษภาคม 2540 จำนวน 23,000 บาท ต่อมานางเหลืองได้ถึงแก่ความตายบรรดาทรัพย์สินตลอดจนสิทธิและหน้าที่ในทรัพย์สินจึงตกแก่ นายแดง จำเลย ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม
ก่อนฟ้องคดีธนาคารโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้นายแดงในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลือง
ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแต่นายแดงเพิกเฉย
นับถึงฟ้องมีหนี้ที่นายแดง จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงิน 455,591.43 บาท
ดอกเบี้ย
772,311.68 บาท ค่าเบี้ยประกันภัย 5,541,17 บาท รวมเป็นเงิน 1,233,444.28
บาท
ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,233,444.28 บาท
พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
13.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 455,591.43 บาท
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
ให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยจำนวน 700.89 บาท ทุกวันที่ 1 เมษายน
ของทุกสามปี
เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด
นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น
ในกองมรดกของนางเหลืองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
นายแดงต่อสู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้ว
เรื่องนี้มีการต่อสู้ขึ้นมาถึงชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
“โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลืองให้รับผิดในมูลหนี้เงินกู้
และบังคับจำนอง
โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่นางเหลืองถึงแก่ความตายเกิน 10 ปี
ฟ้องโจทก์ในมูลหนี้เงินกู้จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1754
วรรคสี่ แต่โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า
โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของนางเหลือง หรือไม่ เห็นว่า
เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 214 เมื่อปรากฏว่านางเหลืองลูกหนี้ถึงแก่ความตาย
โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลืองชำระหนี้จาก
ทรัพย์สินในกองมรดกของนางเหลืองได้
แม้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ
โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1754 วรรคสาม และมาตรา 193/27
แต่คงบังคับได้เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น
หาอาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางเหลืองได้ด้วยไม่
แม้สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11
จะมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของ
ลูกหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ก็ตาม
เพราะเมื่อหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว
ทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางเหลืองย่อมไม่ตกอยู่ในความรับผิดทางแพ่งอีก
ต่อไป"
สรุป คือ เมื่อหนี้ที่จำนองขาดอายุความแล้ว แม้มีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ ก็ตาม ลูกหนี้ก็ไม่ต้องรับผิดตามข้อตกลงนั้น เจ้าหนี้คงบังคับชำระหนี้ได้เฉพาะจากทรัพย์สินซึ่งเป็นหลักประกันที่จำนองไว้เท่านั้น (เทียบเคียง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3705/2551)