18 กันยายน 2557

ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แม้อยู่กินฉันสามีภริยา ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินของอีกฝ่ายที่ตนครอบครองนั้นเป็นของตน ก็มีความผิด


          ประมวลกฎหมายอาญา 
          มาตรา 352  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก 

          - ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และ
          - ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม

          ตัวอย่าง เช่น นายโจ สามีชาวต่างชาติ มอบเงินให้นางจู ชาวไทยไว้ใช้จ่ายร่วมกันในครอบครัว การที่นางจูอ้างว่า นายโจเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ นางจูจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของนางจูเพียงคนเดียว ถือได้ว่านางจูครอบครองเงินที่นายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เมื่อนายโจบอกให้นางจูคืนเงินแต่นางจูไม่ยอมคืนให้ การกระทำของนางจูจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งนายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปเป็นของตนโดยทุจริต นางจูจึงมีความผิดฐานยักยอก

         กรณีนี้มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2550 โจทก์ร่วมซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รู้จักจำเลยและอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาโจทก์ร่วมซื้อที่ดินที่อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมาและปลูกสร้างบ้านอยู่กับจำเลย ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 โจทก์ร่วมต้องเดินทางกลับประเทศอังกฤษ ต่อมาจำเลยได้รับเงินตามฟ้องจากโจทก์ร่วม และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550 จำเลยนำเงินดังกล่าวฝากธนาคารในนามของจำเลย เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยไม่ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม และไม่กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ร่วมอีก วันที่ 27 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้ติดตามจำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2551 โจทก์ร่วมจึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฐานยักยอกทรัพย์เงินจำนวนดังกล่าวของโจทก์ร่วมไปเป็นคดีนี้
         ข้อเท็จจริงมีว่า หลังจากโจทก์ร่วมอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้ว โจทก์ร่วมได้ออกเงินซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ต่อมาหลังจากโจทก์ร่วมเดินทางจากประเทศอังกฤษกลับมาประเทศไทย เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมได้มอบเงิน 400,000 บาท กับเงินที่เหลือจากการตกแต่งบ้านอีก 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 450,000 บาท ให้จำเลยนำไปฝากธนาคารในชื่อบัญชีโจทก์ร่วมร่วมกับจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกัน แต่จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ จำเลยจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียว ต่อมาวันที่ 19 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมทราบว่าโจทก์ร่วมสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้เอง จึงเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของโจทก์ร่วม หลังจากนั้นโจทก์ร่วมบอกจำเลยให้นำเงิน 450,000 บาท ซึ่งอยู่ในบัญชีของจำเลยนำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม แต่จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาอ้างว่าจะไปดำเนินการให้ในวันรุ่งขึ้น แต่สุดท้ายจำเลยไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วม หลังจากนั้นจำเลยได้หนีออกจากบ้านไป ไม่กลับมาที่บ้านอีก โจทก์ร่วมโทรศัพท์บอกให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม แต่จำเลยปิดโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย โจทก์ร่วมจึงไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีก 
          ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไว้ว่า การที่โจทก์ร่วมมอบเงินเข้าบัญชีของจำเลยเนื่องจากเข้าใจว่าชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ประสงค์ที่จะมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยทั้งหมดเพียงคนเดียว โจทก์ร่วมยังประสงค์ที่จะนำเงินฝากมาใช้จ่ายร่วมกันในส่วนของโจทก์ร่วมด้วย แต่เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ดังนั้น การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียวจึงถือได้ว่าจำเลยครอบครองเงินตามฟ้องที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ว่าหลังจากโจทก์ร่วมบอกให้จำเลยคืนเงินและนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมแล้ว จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วมและหาเหตุหนีออกจากบ้านไป ไม่ยอมกลับมาอยู่กับโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมโทรศัพท์ให้จำเลยคืนเงิน จำเลยก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย อันส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเอาเงินดังกล่าวเป็นของจำเลยคนเดียวทั้งหมด ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังเกิดเหตุ 3 ถึง 4 เดือน จำเลยก็ได้แต่งงานใหม่กับสามีคนไทย การที่จำเลยอยู่กินกับโจทก์ร่วมก็เพียงเพื่อต้องการได้ผลประโยชน์จากโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมขอให้จำเลยโอนเงินที่ฝากไว้ในชื่อจำเลยเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม จำเลยก็บ่ายเบี่ยงหาทางเลิกกับโจทก์ร่วมโดยหนีออกจากบ้านไม่มาอยู่ กับโจทก์ร่วมเพื่อไม่ต้องการคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อเงินในบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเป็นเงินของโจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกัน จำเลยได้ถอนเงินของโจทก์ร่วมไปและไม่ยอมถอนเงินคืนให้แก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้อง หาใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22267/2555)
          เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่กินฉันสามีภริยากัน แต่ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังทรัพย์สินที่อีกฝ่่ายเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ก็เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกได้ 

          ความผิดฐานยักยอก เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ ดังนั้น จึงต้องมีการร้องทุกข์ก่อน จึงจะทำให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวน และการร้องทุกข์หรือกรณีไม่ร้องทุกข์แต่เลือกจะฟ้องคดีเองนั้น  ต้องกระทำภายในอายุความสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96