ทนายความ รับปรึกษาคดี และ ว่าความ ทั่วราชอาณาจักร คดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญา คดีแรงงาน อุทธรณ์ฎีกา อุทธรณ์คดีเวนคืนที่ดิน โทร. 0648578506 หรือไลน์ไอดี wc_lawyer
18 กันยายน 2557
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แม้อยู่กินฉันสามีภริยา ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินของอีกฝ่ายที่ตนครอบครองนั้นเป็นของตน ก็มีความผิด
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก
- ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และ
- ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม
ตัวอย่าง เช่น นายโจ สามีชาวต่างชาติ มอบเงินให้นางจู ชาวไทยไว้ใช้จ่ายร่วมกันในครอบครัว การที่นางจูอ้างว่า นายโจเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ นางจูจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของนางจูเพียงคนเดียว ถือได้ว่านางจูครอบครองเงินที่นายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เมื่อนายโจบอกให้นางจูคืนเงินแต่นางจูไม่ยอมคืนให้ การกระทำของนางจูจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งนายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปเป็นของตนโดยทุจริต นางจูจึงมีความผิดฐานยักยอก
กรณีนี้มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2550 โจทก์ร่วมซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รู้จักจำเลยและอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาโจทก์ร่วมซื้อที่ดินที่อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมาและปลูกสร้างบ้านอยู่กับจำเลย ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 โจทก์ร่วมต้องเดินทางกลับประเทศอังกฤษ ต่อมาจำเลยได้รับเงินตามฟ้องจากโจทก์ร่วม และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550 จำเลยนำเงินดังกล่าวฝากธนาคารในนามของจำเลย เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยไม่ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม และไม่กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ร่วมอีก วันที่ 27 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้ติดตามจำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2551 โจทก์ร่วมจึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฐานยักยอกทรัพย์เงินจำนวนดังกล่าวของโจทก์ร่วมไปเป็นคดีนี้
ข้อเท็จจริงมีว่า หลังจากโจทก์ร่วมอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้ว โจทก์ร่วมได้ออกเงินซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ต่อมาหลังจากโจทก์ร่วมเดินทางจากประเทศอังกฤษกลับมาประเทศไทย เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมได้มอบเงิน 400,000 บาท กับเงินที่เหลือจากการตกแต่งบ้านอีก 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 450,000 บาท ให้จำเลยนำไปฝากธนาคารในชื่อบัญชีโจทก์ร่วมร่วมกับจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกัน แต่จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ จำเลยจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียว ต่อมาวันที่ 19 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมทราบว่าโจทก์ร่วมสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้เอง จึงเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของโจทก์ร่วม หลังจากนั้นโจทก์ร่วมบอกจำเลยให้นำเงิน 450,000 บาท ซึ่งอยู่ในบัญชีของจำเลยนำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม แต่จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาอ้างว่าจะไปดำเนินการให้ในวันรุ่งขึ้น แต่สุดท้ายจำเลยไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วม หลังจากนั้นจำเลยได้หนีออกจากบ้านไป ไม่กลับมาที่บ้านอีก โจทก์ร่วมโทรศัพท์บอกให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม แต่จำเลยปิดโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย โจทก์ร่วมจึงไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีก
ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไว้ว่า การที่โจทก์ร่วมมอบเงินเข้าบัญชีของจำเลยเนื่องจากเข้าใจว่าชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ประสงค์ที่จะมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยทั้งหมดเพียงคนเดียว โจทก์ร่วมยังประสงค์ที่จะนำเงินฝากมาใช้จ่ายร่วมกันในส่วนของโจทก์ร่วมด้วย แต่เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ดังนั้น การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียวจึงถือได้ว่าจำเลยครอบครองเงินตามฟ้องที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ว่าหลังจากโจทก์ร่วมบอกให้จำเลยคืนเงินและนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมแล้ว จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วมและหาเหตุหนีออกจากบ้านไป ไม่ยอมกลับมาอยู่กับโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมโทรศัพท์ให้จำเลยคืนเงิน จำเลยก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย อันส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเอาเงินดังกล่าวเป็นของจำเลยคนเดียวทั้งหมด ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังเกิดเหตุ 3 ถึง 4 เดือน จำเลยก็ได้แต่งงานใหม่กับสามีคนไทย การที่จำเลยอยู่กินกับโจทก์ร่วมก็เพียงเพื่อต้องการได้ผลประโยชน์จากโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมขอให้จำเลยโอนเงินที่ฝากไว้ในชื่อจำเลยเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม จำเลยก็บ่ายเบี่ยงหาทางเลิกกับโจทก์ร่วมโดยหนีออกจากบ้านไม่มาอยู่ กับโจทก์ร่วมเพื่อไม่ต้องการคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อเงินในบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเป็นเงินของโจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกัน จำเลยได้ถอนเงินของโจทก์ร่วมไปและไม่ยอมถอนเงินคืนให้แก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้อง หาใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22267/2555)
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่กินฉันสามีภริยากัน แต่ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังทรัพย์สินที่อีกฝ่่ายเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ก็เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกได้
ความผิดฐานยักยอก เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ ดังนั้น จึงต้องมีการร้องทุกข์ก่อน จึงจะทำให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวน และการร้องทุกข์หรือกรณีไม่ร้องทุกข์แต่เลือกจะฟ้องคดีเองนั้น ต้องกระทำภายในอายุความสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
ป้ายกำกับ:
คดีอาญา
17 กันยายน 2557
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หากผู้จะซื้อผิดสัญญา แต่ผู้จะขายยังต้องการบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป ผู้จะขายไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำ
โดยปกติแล้ว กรณีทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หากผู้จะซื้อผิดสัญญา ผู้จะขายย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำนั้นได้ แต่ถ้าผู้จะขายยังต้องการบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป ผู้จะขายก็ไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำนั้น รวมทั้งไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ
ตัวอย่าง
นายเอ ทำสัญญาจะซื้อที่ดินหนึ่งแปลงจาก นายบี ราคา 6 แสนบาท วางมัดจำไว้ 3 หมื่นบาท และนัดไปจดทะเบียนการซื้อขายกัน ณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ถ้านายเอ ผิดสัญญาไม่ซื้อหรือไม่ไปรับโอนที่ดินภายในกำหนด ยินยอมให้นายบึริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับได้อีก 3 หมื่นบาท หลังจากทำสัญญาแล้ว นายเอ เห็นว่าที่ดินที่จะซื้อตามสัญญามีราคาสูงเกินไป จึงไม่ยอมซื้อที่ดินตามสัญญา โดยขอให้นายบีริบเงินมัดจำและเรียกเบี้ยปรับ แต่นายบียังคงต้องการขายที่ดินตามสัญญา จึงฟ้องบังคับนายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายรวมทั้งริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา
ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เมื่อนายเอไม่ซื้อที่ดินตามสัญญาอันเป็นการละเลยไม่ชำระหนี้ นายบีเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอปฏิบัติตามสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 แต่เมื่อนายบีเจ้าหนี้บังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญา นายเอเจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิริบมัดจำ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(2) เพราะเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ต้องส่งมัดจำคืนหรือหักมัดจำเป็นการชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(1) ส่วนถ้าเจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้อย่างไร ก็ย่อมเรียกเอาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 215
ส่วนที่สัญญาระบุให้เรียกเบี้ยปรับ 3 หมื่นบาท กรณีนายเอผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินนั้น เป็นการที่ลูกหนี้ให้สัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380 เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้หรือเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิทธิของนายบี ที่จะเลือก ดังนั้น เมื่อนายบีเลือกที่จะเรียกให้นายเอซื้อที่ดินโดยการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อไป อันเป็นการเลือกในทางบังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 สิทธิเรียกเบี้ยปรับย่อมหมดไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380
สรุปแล้ว นายบีมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหาย แต่ไม่มีสิทธิริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับด้วย
(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2506, 556/2511)
ตัวอย่าง
นายเอ ทำสัญญาจะซื้อที่ดินหนึ่งแปลงจาก นายบี ราคา 6 แสนบาท วางมัดจำไว้ 3 หมื่นบาท และนัดไปจดทะเบียนการซื้อขายกัน ณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ถ้านายเอ ผิดสัญญาไม่ซื้อหรือไม่ไปรับโอนที่ดินภายในกำหนด ยินยอมให้นายบึริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับได้อีก 3 หมื่นบาท หลังจากทำสัญญาแล้ว นายเอ เห็นว่าที่ดินที่จะซื้อตามสัญญามีราคาสูงเกินไป จึงไม่ยอมซื้อที่ดินตามสัญญา โดยขอให้นายบีริบเงินมัดจำและเรียกเบี้ยปรับ แต่นายบียังคงต้องการขายที่ดินตามสัญญา จึงฟ้องบังคับนายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายรวมทั้งริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา
ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เมื่อนายเอไม่ซื้อที่ดินตามสัญญาอันเป็นการละเลยไม่ชำระหนี้ นายบีเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอปฏิบัติตามสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 แต่เมื่อนายบีเจ้าหนี้บังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญา นายเอเจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิริบมัดจำ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(2) เพราะเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ต้องส่งมัดจำคืนหรือหักมัดจำเป็นการชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(1) ส่วนถ้าเจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้อย่างไร ก็ย่อมเรียกเอาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 215
ส่วนที่สัญญาระบุให้เรียกเบี้ยปรับ 3 หมื่นบาท กรณีนายเอผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินนั้น เป็นการที่ลูกหนี้ให้สัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380 เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้หรือเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิทธิของนายบี ที่จะเลือก ดังนั้น เมื่อนายบีเลือกที่จะเรียกให้นายเอซื้อที่ดินโดยการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อไป อันเป็นการเลือกในทางบังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 สิทธิเรียกเบี้ยปรับย่อมหมดไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380
สรุปแล้ว นายบีมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหาย แต่ไม่มีสิทธิริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับด้วย
(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2506, 556/2511)
ป้ายกำกับ:
คดีแพ่ง
ผู้ครองครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยแสดงเจตนาว่าจะไม่ยึดถือแทนผู้ครอบครองอีกต่อไป
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1381 "บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก"
มาตรา 1375 "ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง"
การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินนั้น ก็โดยการที่บุคคลใดเข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ซึ่งการเข้ายึดถือทรัพย์สินหรือที่ดินแปลงใด ก็อาจทำได้โดยผู้มีสิทธิครอบครองเดิมสละการครอบครองให้ หรือโดยการแย่งการครอบครอง
ผู้ครอบครองแทนได้ฟ้องต่อศาลขอให้บังคับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้ตนเอง ดังนี้ ถือได้ว่าผู้ครอบครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2543 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันเมื่อปี 2530 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทอยู่ในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายภายในกำหนด 10 ปี การซื้อขายที่ดินพิพาทจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 (เดิม) เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการจัดให้ราษฎรทำกินจึงปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวซึ่งทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ ยังไม่ปล่อยเป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีข้อกำหนดห้ามโอน ดังนั้น โจทก์จะสละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ ศาลจึงยกบทบัญญัติมาตรา 411 แห่ง ป.พ.พ. ขึ้นปรับแก่คดีนี้ไม่ได้
นับแต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ซื้อขายที่ดินพิพาทกันตั้งแต่ปี 2530 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบัน แม้จะถือว่าในระหว่างระยะเวลาที่มีข้อกำหนดห้ามโอน จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ก็ตามแต่ในปี 2533 ซึ่งเป็นระยะเวลาพ้นกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องต่อศาลขอให้บังคับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2539 จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เอาคืนซึ่งการครอบครอง
ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันแล้วต่อมาเมื่อผู้ซื้อชำระเงินดาวน์งวดสุดท้ายได้แสดงเจตนาจะให้ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ แต่ผู้ขายยังไม่สามารถดำเนินการให้ได้เพราะที่ดินพิพาทยังติดจำนองกับธนาคาร พฤติการณ์ของผู้ซื้อที่เรียกร้องให้ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทและการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวของผู้ซื้อ โดยผู้ขายได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าผู้ซื้อมิได้มีเจตนาจะยึดถือที่ดินและบ้านแทนผู้ขายอีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16513/2555 จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินกับโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินดาวน์งวดสุดท้ายแล้วได้แสดงเจตนาที่จะให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ แต่โจทก์ไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เนื่องจากโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร อ. จึงได้นัดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2526 ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาด จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่เรียกร้องให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทและการยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะยึดถือที่ดินและบ้านแทนโจทก์อีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 เมื่อจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยชอบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่วันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ดังนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงเจตนายึดถือเพื่อตน เมื่อนับถึงวันฟ้อง เป็นเวลาติดต่อกันเกิน 10 ปี จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
จำเลยทั้งสองได้ทำรั้วลวดหนามอ้างว่าทำขึ้นทดแทนรั้วเดิมซึ่งทรุดโทรมไปแล้วและโจทก์เห็นว่ารั้วดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงมีการเจรจากับจำเลยทั้งสองให้รื้อรั้วออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ต่อมาโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเองซึ่งเข้าลักษณะแย่งการครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5697/2553 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป และมาตรา 1375 วรรคสอง การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ในกรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้แย่งการครอบครองก็ต่อเมื่อได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ครอบครองว่า ตนไม่มีเจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ดังนั้น การที่ก่อนปี 2539 ระหว่างแนวเขตที่ดินพิพาทมีการปลูกต้นยูคาลิปตัสและนาย จ. บอกฝ่ายจำเลยให้รื้อถอนต้นยูคาลิปตัสกับรั้วลวดหนามออก ไม่ใช่การบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครอง แต่เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม 2541 จำเลยทั้งสองได้ทำรั้วลวดหนามอ้างว่าทำขึ้นทดแทนรั้วเดิมซึ่งทรุดโทรมไปแล้วและโจทก์เห็นว่ารั้วดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงมีการเจรจากับจำเลยทั้งสองให้รื้อรั้วออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ต่อมาโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมกราคม 2541 แล้วว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเองซึ่งเข้าลักษณะแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2542 จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์และต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินให้บิดามารดาโจทก์โดยแจ้งว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลังพร้อมส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และที่ดินให้เข้าครอบครอง แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นโมฆะ บิดามารดาโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนจำเลยจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือจนกว่าจำเลยจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1379
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2552 จำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ อ. และ ล. บิดามารดาโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะจำเลยแจ้งว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลัง แต่ทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และที่ดินให้เข้าครอบครองอย่างเจ้าของ ข้อที่ว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลังมีลักษณะเป็นการไถ่ทรัพย์คืนเช่นสัญญาขายฝากตาม ป.พ.พ. มาตรา 491 เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ปัญหาว่านิติกรรมขายฝากทำผิดแบบตกเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
การที่ อ. และ ล. เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนจำเลย แม้ต่อมา อ. ถึงแก่ความตายและ ล. มอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือจนกว่าจำเลยจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1379 ที่โจทก์เบิกความว่า ฝ่ายโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อให้โอนเปลี่ยนชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ 3 ครั้ง แต่จำเลยไม่ยินยอม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 ข้างต้น แต่กลับเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยไม่ได้แสดงเจตนาสละการครอบครองตามมาตรา 1377 และ 1379 ดังกล่าว โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงมีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยย่อมมีสิทธินำไปขอเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทได้เปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นโฉนดที่ดินแล้วจำเลยย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ก็แต่โดยการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหลังจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดและโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องโจทก์ยังครอบครองที่ดินพิพาทไม่ถึง 10 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
การครอบครองที่ดินที่ขายฝากแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ถือว่าผู้ขายฝากครอบครองแทนเจ้าของซึ่งเป็นผู้ซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3315/2552 ค. บิดาโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 139 ซึ่งรวมที่ดินพิพาทด้วยแก่ บ. ภริยาจำเลยแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด สิทธิในที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของ บ. แม้ ค. ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาเป็นเวลานานเพียงใดก็เป็นการครอบครองแทนและโดยอาศัยสิทธิของ บ. หาได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่ และหลังจาก ค. ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ค. แล้ว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. จึงไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร และโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง การครอบครองและรับโอนที่ดินพิพาทเป็นการสืบสิทธิของ ค. โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า ค.ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง บ. หรือจำเลยผู้ครอบครองว่าโจทก์ไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 แต่อย่างใด แม้โจทก์จะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง
เข้าอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่า การครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าใหม่และไม่ชำระค่าเช่า ถือไม่ได้ว่าผู้เช่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากยึดถือแทนเป็นยึดถือเพื่อตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10255/2551 จำเลยเข้าอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจาก ฮ. การที่จำเลยครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าใหม่และไม่ชำระค่าเช่า ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากยึดถือแทนเป็นยึดถือเพื่อตน จำเลยจึงเป็นผู้ยึดถือทรัพย์สินในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง จำเลยจะต้องบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนอีกต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทว่าไม่มีเจตนายึดถือแทนอีกต่อไป จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
เข้าครอบครองที่ดินโดยเจ้าของรวมคนหนึ่งอนุญาต ถือว่าเป็นการครอบครองแทนเจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6035/2551 จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดย จ. และเจ้าของรวมคนอื่นให้จำเลยอยู่อาศัย เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของ จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยเพิ่งมาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ปลูกบ้านในที่ดินโดยอาศัยสิทธิของบิดา เมื่อบิดาอยู่อาศัยในที่ดินโดยอาศัยสิทธิผู้อื่น ตนเองย่อมจึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับบิดา ถือว่าครอบครองที่ดินแทนเจ้าของเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7721/2550 พ. ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของ ส. จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจาก พ. จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับ พ. แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของ พ. ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 130 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีเนื้อที่ 3 ไร่ 8 ตารางวา และมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนาง ล. นาง ส. และนาง บ. โดยโจทก์จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนมาจากนาย ส. บิดาโจทก์เมื่อปี 2514 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินส่วนที่นาง ล. และนาง ส. ครอบครองอยู่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนของโจทก์อยู่ตรงกลาง และส่วนของนาง บ. อยู่ทางด้านทิศใต้ตามแผนที่วิวาท เดิมนาย พ. บิดาจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทดังกล่าว หลังจากนาย พ. ถึงแก่ความตายจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยปลูกบ้านใหม่ขึ้น 1 หลัง คือบ้านเลขที่ 35/2 หมู่ที่ 5 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ตามสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายบ้าน ส่วนบ้านหลังเดิมจำเลยรื้อถอนออกไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนที่ดิน โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว และจะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ทางนำสืบจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน กับมีนาง ศ. นาง ม. นาง ย. นาง ง. และนาย น. เบิกความทำนองเดียวกันว่า นาย พ.บิดาจำเลยเข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาย ส. บิดาโจทก์ แต่พยานจำเลยดังกล่าวคงมีจำเลยเพียงปากเดียวที่อ้างว่ารู้เห็นขณะนาย พ. กับบิดาโจทก์ซื้อขายที่ดินพิพาทกัน โดยจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นอกจากจำเลยเลยแล้วไม่มีบุคคลอื่นรู้เห็นอีก พยานจำเลยปากอื่นจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ จำเลยกับนาง ศ.พี่สาวจำเลยซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดและน่าจะทราบความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้ดียังเบิกความขัดแย้งกันอย่างเป็นพิรุธ จำเลยเบิกความว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนาย พ. กับบิดาโจทก์ไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่นาง ศ. กลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่จำเลยอ้างว่าบ้านหลังใหม่ของจำเลยมีสภาพมั่นคงแข็งแรง และจำเลยมีสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ขอเลขบ้านสำหรับบ้านที่ปลูกใหม่ต่อทางราชการด้วยนั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่าบ้านหลังเดิมของนาย พ. ที่จำเลยรื้อถอนออกไปมีสภาพเป็นอย่างไร ทั้งจำเลยมิได้นำสืบให้ปรากฏว่านาย พ. ได้ขอเลขบ้านไว้ การที่จำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิมกลับทำให้เห็นว่าบ้านหลังเดิมที่นาย พ. เป็นผู้ปลูกน่าจะมีสภาพที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยนัก แนวกั้นเขตที่ดินพิพาทจะมีมาแต่เดิมอย่างไรหรือไม่ จำเลยซึ่งน่าจะทราบเรื่องดีที่สุดก็มิได้เบิกความถึง แต่ในข้อนี้โจทก์มีนาย อ. และนาง ล.ซึ่งมีบ้านและครอบครองที่ดินติดที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า ต้นมะขามที่ปลูกเป็นแนวด้านทิศตะวันตกของที่ดินพิพาทนาย อ. เป็นผู้ปลูก ส่วนแนวรั้วสังกะสีด้านทิศเหนือของที่ดินพิพาทนาง ล. เพิ่งทำขึ้นภายหลังซึ่งตามภาพถ่ายบ้านปรากฏว่ามีรั้วสังกะสีอยู่จริง จำเลยยังเบิกความยอมรับว่านาย พ. เคยอาศัยอยู่ในที่ดินของกำนัน ช. มาก่อน และได้ความจากนาย น. พยานจำเลยที่เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านต่อไปว่า นาย พ. ย้ายมาอยู่ในที่ดินพิพาทเนื่องจากกำนัน ช. ต้องการใช้ประโยชน์ที่ดินของตน พฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่า นาย พ. มีเหตุจำเป็นที่ต้องมาขออาศัยบิดาโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้นายทองหล่อพยานโจทก์ก็เบิกความทำนองเดียวกันและยืนยันว่านายเพลมาขออาศัยนายสุขปลูกบ้านนาย ท. มีบ้านอยู่ใกล้ที่ดินพิพาท ทั้งได้ความว่านาย ท. ได้ช่วยนาย พ. ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทด้วย พยานโจทก์ปากนี้จึงน่าจะทราบได้ดีว่าสิทธิของนาย พ. มีอยู่หรือไม่เพียงใด ดังนี้ จึงเห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่เป็นคุณอยู่แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า นาย พ. ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของบิดาโจทก์ จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจากนาย พ. จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับนาย พ. แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของนาย พ. ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นที่ว่าโจทก์ยอมขายที่ดินบางส่วนให้แก่นาย อ. แต่ไม่ยอมขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ไม่เป็นสาระที่จะทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
มาตรา 1381 "บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก"
มาตรา 1375 "ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง"
การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินนั้น ก็โดยการที่บุคคลใดเข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ซึ่งการเข้ายึดถือทรัพย์สินหรือที่ดินแปลงใด ก็อาจทำได้โดยผู้มีสิทธิครอบครองเดิมสละการครอบครองให้ หรือโดยการแย่งการครอบครอง
ผู้ครอบครองแทนได้ฟ้องต่อศาลขอให้บังคับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้ตนเอง ดังนี้ ถือได้ว่าผู้ครอบครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2543 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันเมื่อปี 2530 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทอยู่ในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายภายในกำหนด 10 ปี การซื้อขายที่ดินพิพาทจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 (เดิม) เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการจัดให้ราษฎรทำกินจึงปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวซึ่งทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ ยังไม่ปล่อยเป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีข้อกำหนดห้ามโอน ดังนั้น โจทก์จะสละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ ศาลจึงยกบทบัญญัติมาตรา 411 แห่ง ป.พ.พ. ขึ้นปรับแก่คดีนี้ไม่ได้
นับแต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ซื้อขายที่ดินพิพาทกันตั้งแต่ปี 2530 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบัน แม้จะถือว่าในระหว่างระยะเวลาที่มีข้อกำหนดห้ามโอน จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ก็ตามแต่ในปี 2533 ซึ่งเป็นระยะเวลาพ้นกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องต่อศาลขอให้บังคับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2539 จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เอาคืนซึ่งการครอบครอง
ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันแล้วต่อมาเมื่อผู้ซื้อชำระเงินดาวน์งวดสุดท้ายได้แสดงเจตนาจะให้ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ แต่ผู้ขายยังไม่สามารถดำเนินการให้ได้เพราะที่ดินพิพาทยังติดจำนองกับธนาคาร พฤติการณ์ของผู้ซื้อที่เรียกร้องให้ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทและการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวของผู้ซื้อ โดยผู้ขายได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าผู้ซื้อมิได้มีเจตนาจะยึดถือที่ดินและบ้านแทนผู้ขายอีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16513/2555 จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินกับโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินดาวน์งวดสุดท้ายแล้วได้แสดงเจตนาที่จะให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ แต่โจทก์ไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เนื่องจากโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร อ. จึงได้นัดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2526 ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาด จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่เรียกร้องให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทและการยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะยึดถือที่ดินและบ้านแทนโจทก์อีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 เมื่อจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยชอบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่วันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ดังนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงเจตนายึดถือเพื่อตน เมื่อนับถึงวันฟ้อง เป็นเวลาติดต่อกันเกิน 10 ปี จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
จำเลยทั้งสองได้ทำรั้วลวดหนามอ้างว่าทำขึ้นทดแทนรั้วเดิมซึ่งทรุดโทรมไปแล้วและโจทก์เห็นว่ารั้วดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงมีการเจรจากับจำเลยทั้งสองให้รื้อรั้วออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ต่อมาโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเองซึ่งเข้าลักษณะแย่งการครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5697/2553 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป และมาตรา 1375 วรรคสอง การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ในกรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้แย่งการครอบครองก็ต่อเมื่อได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ครอบครองว่า ตนไม่มีเจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ดังนั้น การที่ก่อนปี 2539 ระหว่างแนวเขตที่ดินพิพาทมีการปลูกต้นยูคาลิปตัสและนาย จ. บอกฝ่ายจำเลยให้รื้อถอนต้นยูคาลิปตัสกับรั้วลวดหนามออก ไม่ใช่การบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครอง แต่เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม 2541 จำเลยทั้งสองได้ทำรั้วลวดหนามอ้างว่าทำขึ้นทดแทนรั้วเดิมซึ่งทรุดโทรมไปแล้วและโจทก์เห็นว่ารั้วดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงมีการเจรจากับจำเลยทั้งสองให้รื้อรั้วออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ต่อมาโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมกราคม 2541 แล้วว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเองซึ่งเข้าลักษณะแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2542 จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์และต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินให้บิดามารดาโจทก์โดยแจ้งว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลังพร้อมส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และที่ดินให้เข้าครอบครอง แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นโมฆะ บิดามารดาโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนจำเลยจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือจนกว่าจำเลยจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1379
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2552 จำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ อ. และ ล. บิดามารดาโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะจำเลยแจ้งว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลัง แต่ทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และที่ดินให้เข้าครอบครองอย่างเจ้าของ ข้อที่ว่าหากมีเงินจะมาขอซื้อคืนในภายหลังมีลักษณะเป็นการไถ่ทรัพย์คืนเช่นสัญญาขายฝากตาม ป.พ.พ. มาตรา 491 เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ปัญหาว่านิติกรรมขายฝากทำผิดแบบตกเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
การที่ อ. และ ล. เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนจำเลย แม้ต่อมา อ. ถึงแก่ความตายและ ล. มอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือจนกว่าจำเลยจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1379 ที่โจทก์เบิกความว่า ฝ่ายโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อให้โอนเปลี่ยนชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ 3 ครั้ง แต่จำเลยไม่ยินยอม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 ข้างต้น แต่กลับเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยไม่ได้แสดงเจตนาสละการครอบครองตามมาตรา 1377 และ 1379 ดังกล่าว โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงมีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยย่อมมีสิทธินำไปขอเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทได้เปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นโฉนดที่ดินแล้วจำเลยย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ก็แต่โดยการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหลังจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดและโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องโจทก์ยังครอบครองที่ดินพิพาทไม่ถึง 10 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
การครอบครองที่ดินที่ขายฝากแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ถือว่าผู้ขายฝากครอบครองแทนเจ้าของซึ่งเป็นผู้ซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3315/2552 ค. บิดาโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 139 ซึ่งรวมที่ดินพิพาทด้วยแก่ บ. ภริยาจำเลยแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด สิทธิในที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของ บ. แม้ ค. ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาเป็นเวลานานเพียงใดก็เป็นการครอบครองแทนและโดยอาศัยสิทธิของ บ. หาได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่ และหลังจาก ค. ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ค. แล้ว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. จึงไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร และโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง การครอบครองและรับโอนที่ดินพิพาทเป็นการสืบสิทธิของ ค. โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า ค.ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง บ. หรือจำเลยผู้ครอบครองว่าโจทก์ไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 แต่อย่างใด แม้โจทก์จะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง
เข้าอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่า การครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าใหม่และไม่ชำระค่าเช่า ถือไม่ได้ว่าผู้เช่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากยึดถือแทนเป็นยึดถือเพื่อตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10255/2551 จำเลยเข้าอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจาก ฮ. การที่จำเลยครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าใหม่และไม่ชำระค่าเช่า ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากยึดถือแทนเป็นยึดถือเพื่อตน จำเลยจึงเป็นผู้ยึดถือทรัพย์สินในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง จำเลยจะต้องบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนอีกต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทว่าไม่มีเจตนายึดถือแทนอีกต่อไป จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
เข้าครอบครองที่ดินโดยเจ้าของรวมคนหนึ่งอนุญาต ถือว่าเป็นการครอบครองแทนเจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6035/2551 จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดย จ. และเจ้าของรวมคนอื่นให้จำเลยอยู่อาศัย เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของ จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยเพิ่งมาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ปลูกบ้านในที่ดินโดยอาศัยสิทธิของบิดา เมื่อบิดาอยู่อาศัยในที่ดินโดยอาศัยสิทธิผู้อื่น ตนเองย่อมจึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับบิดา ถือว่าครอบครองที่ดินแทนเจ้าของเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7721/2550 พ. ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของ ส. จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจาก พ. จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับ พ. แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของ พ. ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 130 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีเนื้อที่ 3 ไร่ 8 ตารางวา และมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนาง ล. นาง ส. และนาง บ. โดยโจทก์จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนมาจากนาย ส. บิดาโจทก์เมื่อปี 2514 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินส่วนที่นาง ล. และนาง ส. ครอบครองอยู่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนของโจทก์อยู่ตรงกลาง และส่วนของนาง บ. อยู่ทางด้านทิศใต้ตามแผนที่วิวาท เดิมนาย พ. บิดาจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทดังกล่าว หลังจากนาย พ. ถึงแก่ความตายจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยปลูกบ้านใหม่ขึ้น 1 หลัง คือบ้านเลขที่ 35/2 หมู่ที่ 5 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ตามสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายบ้าน ส่วนบ้านหลังเดิมจำเลยรื้อถอนออกไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนที่ดิน โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว และจะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ทางนำสืบจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน กับมีนาง ศ. นาง ม. นาง ย. นาง ง. และนาย น. เบิกความทำนองเดียวกันว่า นาย พ.บิดาจำเลยเข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาย ส. บิดาโจทก์ แต่พยานจำเลยดังกล่าวคงมีจำเลยเพียงปากเดียวที่อ้างว่ารู้เห็นขณะนาย พ. กับบิดาโจทก์ซื้อขายที่ดินพิพาทกัน โดยจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นอกจากจำเลยเลยแล้วไม่มีบุคคลอื่นรู้เห็นอีก พยานจำเลยปากอื่นจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ จำเลยกับนาง ศ.พี่สาวจำเลยซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดและน่าจะทราบความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้ดียังเบิกความขัดแย้งกันอย่างเป็นพิรุธ จำเลยเบิกความว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนาย พ. กับบิดาโจทก์ไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่นาง ศ. กลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่จำเลยอ้างว่าบ้านหลังใหม่ของจำเลยมีสภาพมั่นคงแข็งแรง และจำเลยมีสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ขอเลขบ้านสำหรับบ้านที่ปลูกใหม่ต่อทางราชการด้วยนั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่าบ้านหลังเดิมของนาย พ. ที่จำเลยรื้อถอนออกไปมีสภาพเป็นอย่างไร ทั้งจำเลยมิได้นำสืบให้ปรากฏว่านาย พ. ได้ขอเลขบ้านไว้ การที่จำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิมกลับทำให้เห็นว่าบ้านหลังเดิมที่นาย พ. เป็นผู้ปลูกน่าจะมีสภาพที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยนัก แนวกั้นเขตที่ดินพิพาทจะมีมาแต่เดิมอย่างไรหรือไม่ จำเลยซึ่งน่าจะทราบเรื่องดีที่สุดก็มิได้เบิกความถึง แต่ในข้อนี้โจทก์มีนาย อ. และนาง ล.ซึ่งมีบ้านและครอบครองที่ดินติดที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า ต้นมะขามที่ปลูกเป็นแนวด้านทิศตะวันตกของที่ดินพิพาทนาย อ. เป็นผู้ปลูก ส่วนแนวรั้วสังกะสีด้านทิศเหนือของที่ดินพิพาทนาง ล. เพิ่งทำขึ้นภายหลังซึ่งตามภาพถ่ายบ้านปรากฏว่ามีรั้วสังกะสีอยู่จริง จำเลยยังเบิกความยอมรับว่านาย พ. เคยอาศัยอยู่ในที่ดินของกำนัน ช. มาก่อน และได้ความจากนาย น. พยานจำเลยที่เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านต่อไปว่า นาย พ. ย้ายมาอยู่ในที่ดินพิพาทเนื่องจากกำนัน ช. ต้องการใช้ประโยชน์ที่ดินของตน พฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่า นาย พ. มีเหตุจำเป็นที่ต้องมาขออาศัยบิดาโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้นายทองหล่อพยานโจทก์ก็เบิกความทำนองเดียวกันและยืนยันว่านายเพลมาขออาศัยนายสุขปลูกบ้านนาย ท. มีบ้านอยู่ใกล้ที่ดินพิพาท ทั้งได้ความว่านาย ท. ได้ช่วยนาย พ. ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทด้วย พยานโจทก์ปากนี้จึงน่าจะทราบได้ดีว่าสิทธิของนาย พ. มีอยู่หรือไม่เพียงใด ดังนี้ จึงเห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่เป็นคุณอยู่แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า นาย พ. ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของบิดาโจทก์ จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจากนาย พ. จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับนาย พ. แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของนาย พ. ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นที่ว่าโจทก์ยอมขายที่ดินบางส่วนให้แก่นาย อ. แต่ไม่ยอมขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ไม่เป็นสาระที่จะทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดก ถือได้ว่าครอบครองแทนทายาททุกคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2566 ระหว่างมีชีวิต พ. ยังไม่ได้ยกหรือส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แม้ พ. เคยสั่งเสียให้ทายาททุกคนทราบว่า พ. จะยกที่ดินพิพาทให้จำเลย แต่ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการทำพินัยกรรมด้วยวาจาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1663 เมื่อ พ. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทย่อมเป็นทรัพย์มรดกของ พ. ตกแก่ทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และมาตรา 1600 การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกดังกล่าวแทนทายาท แม้ต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยในฐานะส่วนตัว แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังทายาททุกคนว่า จำเลยไม่มีเจตนายึดถือที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแทนทายาทต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ การเสียภาษีบำรุงท้องที่มิได้เป็นข้อสันนิษฐานหรือหลักฐานที่แสดงว่าผู้เสียภาษีมีสิทธิครอบครองที่ดิน ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ พ. จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกต้องแบ่งปันแก่บรรดาทายาท
ผู้จะซื้อเข้าครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย ถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินแทนผู้จะขาย
แม้ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่ง ป.ที่ดิน นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2553 และโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ภายในเวลาสิบปีตามข้อกำหนดห้ามโอนก็ตาม แต่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต่างรู้ว่าที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนและตกลงกันว่าจะโอนให้แก่กัน ณ สำนักงานที่ดินมะขาม ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 อันเป็นเวลาภายหลังพ้นข้อกำหนดห้ามโอนในวันที่ 30 สิงหาคม 2563 แล้วเช่นนี้ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทย่อมเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การที่จำเลยครอบครองดูแลทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่โจทก์จะขายให้แก่จำเลย ถือได้ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทนั้นไว้ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง มิใช่เป็นการครอบครองเพื่อตนเอง ตราบใดที่จำเลยมิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 การครอบครองที่ดินของจำเลยจึงเป็นการยึดถือแทนโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการถือสิทธิครอบครองเด็ดขาดเป็นของตนในฐานะเจ้าของไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเสร็จเด็ดขาดในระหว่างที่มีข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายอันเป็นการฝ่าฝืน ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ และมีผลให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ไม่ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจึงมีผลสมบูรณ์และบังคับกันได้ในลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขายอันเป็นบุคคลสิทธิ และเป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอาความแก่โจทก์ต่อไปตามบทบัญญัติว่าด้วยผลแห่งหนี้และสัญญา และเมื่อการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการครอบครองแทนโจทก์เช่นนี้ จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ขึ้นยันแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
ป้ายกำกับ:
คดีแพ่ง,
ทรัพย์และที่ดิน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)