หลักเกณฑ์ *** คือ เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ
1.
คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
หมายถึง คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดเหมือนฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง (ป.วิ.พ.มาตรา 148) ดังนั้น คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว
ถือว่าคดีนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว แม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หรือฎีกาก็ตาม (ฎ.3488/29, 3116/25)
คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดนี้อาจเป็นคำพิพากษาของศาลทหารก็ได้ (ฎ. 937/87, 764/05)
2.
จำเลยในคดีก่อนและคดีหลัง ต้องเป็นคนเดียวกัน
ในความผิดอาญาเรื่องเดียวกัน
แม้โจทก์จะไม่ใช่คนเดียวกัน
เช่น ผู้เสียหายและอัยการต่างฟ้องจำเลยต่อศาล
หากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีหนึ่งคดีใดแล้ว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องอีกคดีหนึ่งย่อมระงับไป
แม้จะฟ้องคดีไว้ก่อนก็ตาม (ฎ. 1037/01,
1438/27) หรือจำเลยหลายคนถูกพนักงานอัยการฟ้องจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป
จำเลยคนใดคนหนึ่งในคดีนั้นจะไปฟ้องจำเลยด้วยกันในเรื่องเดียวกันเป็นคดีใหม่ไม่ได้เช่นกัน
(ฎ. 738/93, 999/12)
3.
คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง
จำเลยต้องถูกดำเนินคดีในคดีก่อนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการสมยอมกัน
โดยคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีก่อนอันจะมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39 (4) นั้น
ต้องเป็นกรณีที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง ดังนี้หากคดีก่อนเป็นการฟ้องร้องคดีกันอย่างสมยอม
เพื่อหวัง ผลมิให้มีการฟ้องร้องแก่จำเลยได้อีก
ไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับ (ฏ.
6446/47, 9334/38)
** คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
จะต้องเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความผิดของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ต้องเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของความผิดด้วย
จึงจะถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว เช่น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจะเลยกระทำผิดตามฟ้อง หรือ ศาลยกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบมีผลเท่ากับโจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่ได้ ดังนี้ฟ้องใหม่ไม่ได้ (ฎ. 1382/92)
แม้จะเป็นการพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจฟ้อง
หากมีการวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งการกระทำของจำเลยแล้วว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 2757/44)
ศาลยกฟ้องเพราะขาดองค์ประกอบความผิด
เท่ากับฟังว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด
แม้จะเป็นคำวินิจฉัยในชั้นตรวจคำฟ้อง
ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว(ฎ. 6770/46)
ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเพราะฟ้องมิได้กล่าวถึง
เวลา สถานที่ ซึ่งจำเลยกระทำผิด
เท่ากับฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดในเวลาใด สถานที่ใด เป็นการวินิจฉัยความผิดของจำเลยแล้ว ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 687/02 ป. , 776/90
ป.)
การที่ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องไม่ระบุเวลากระทำผิด
ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว
แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องบรรยาย เวลาที่เกิดการกระทำ ผิดในอนาคต
ซึ่งเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ถือว่าศาลยังมิได้วินิจฉัยความผิดที่ได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 39(4) (ฎ. 1590/24)
ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม เช่น การบรรยายเวลากระทำความผิดในอนาคต
หรือการบรรยายฟ้องขัดกัน ถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงฟ้องใหม่ได้ (ฎ. 2331/14)
กรณีโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามมาตรา 166 ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 132, 174 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ย่อมไม่ถูกต้อง
ควรพิพากษายกฟ้อง
แต่อย่างไรก็ตามถ้าศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ดังนี้ ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 162-3/16)
ศาลยกฟ้องเพราะคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล(ฎ. 3981/35)
หรือศาลยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
(ฎ. 2294/17) ไม่ได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลย ถือว่ายังไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง จึงฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อโจทก์ หรือผู้เรียง ดังนี้ย่อมไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง
ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 3096/24, 5834/30)
ข้อสังเกต
1)
แม้การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ถือว่ายังมิได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
ฟ้องใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำก็ตาม
แต่ระหว่างที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์ฟ้องใหม่ ย่อมเป็นฟ้องซ้อน
ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ประกอบ
ป.วิ.อ.มาตรา 15 (ฎ. 1012/27)
2) ฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173(1)
โจทก์ต้องเป็นคนเดียวกัน แต่หากคดีก่อนผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้อง
คดีหลังพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง
กรณีดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็นคนละคนกัน
ไม่เป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173(1) ดังนั้นถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องทั้งสองคดี ถือว่าโจทก์เป็นคนเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน
4.
ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง หมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั้นๆ ไม่ได้หมายถึงฐานความผิด ดังนั้น การกระทำความผิดในคราวเดียวกัน
หรือการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้ว
โจทก์จะฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ แม้จะขอให้ลงโทษคนละฐานความผิดก็ตาม
(ฎ. 4656/12)
การกระทำกรรมเดียวกันมีผู้เสียหายหลายคน
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ฟ้องคดีจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ
ผู้เสียหายคนอื่นก็จะนำคดีมาฟ้องใหม่อีกไม่ได้ เช่น รับของโจรไว้หลายรายการในคราวเดียวกัน
แม้จะเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายต่างรายกัน ก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน
เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานรับของโจรทรัพย์รายการอื่นอีกไม่ได้ (ฎ. 7296/44ล
4747/33,)
หรือหมิ่นประมาทบุคคลหลายคนในคราวเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีจนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา
39(4)
ผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ (ฎ. 1853/30)
แต่ถ้าผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องจำเลยและได้ถอนฟ้องแล้ว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังฟ้องคดีได้อีก (ฎ.
5934/33)
ข้อสังเกต
ดังนั้น จึงได้หลักว่าการกระทำที่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลได้มีคำพิพากษาในความผิดบทใดบทหนึ่งไปแล้ว
ถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว
โจทก์จะนำการกระทำเดียวกันมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยอีกไม่ได้
แม้จะฟ้องคนละฐานความผิดกันก็ตาม ดังนั้นจึงต้องศึกษาว่ากรณีใดเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรม
เช่น
-
จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน เช่นทรัพย์อยู่ในฟ้องเดียวกัน
จึงลักเอาไปพร้อมกัน เป็นกรรมเดียวกัน (ฎ. 6705/46, 1104/04)
แต่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายทีละคนแม้จะเป็นเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน
เป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 1281/46)
- การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายหลายคนติดต่อกัน
ถือว่าเป็นต่างกรรม (ฎ. 1520/06) แต่การทำร้ายโดยไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร เป็นเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียว (ฎ. 2879/46) เช่นวางระเบิดครั้งเดียว มีคนเจ็บหลายคน
- กระทำชำเราหญิงในแต่ละครั้งใหม่ เนื่องจากต้องปกปิดมิให้ผู้อื่นรู้ ไม่ต่อเนื่องกัน แยกต่างหากจากกันได้
เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 4232/47)
- บุกรุกที่ดินของผู้เสียหายหลายคน
(โดยเขตที่ดินอยู่ติดกัน) เป็นการกระทำผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 2725/35)
-
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาล
ผู้เสียหายถึงความตาย ดังนี้
โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ ตามมาตรา 39(4)
เพราะทั้งสองคดีเกิดจากการกระทำอันเดียวกันของจำเลย (ฎ. 3116/25, 1124/96
ป.)
-
จำเลยบุกรุกอสังหาริมทรัพย์เพื่อเข้าไปกระทำความผิดอาญาข้อหาอื่น
เช่นบุกรุกเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ เป็นความผิดกรรมเดียวกัน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยบางข้อหาจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดนั้น โจทก์จะนำข้อหาอื่นมาฟ้องอีกไม่ได้ (ฎ. 1193/29,
1949/47)
-
ความผิดฐานมีอาวุธปืนกระบอกเดียวกันไว้ในความครอบครองฯ ครั้งก่อนและครั้งหลังต่อเนื่องกัน
เป็นกรรมเดียว เมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำครั้งหลังไปแล้ว
โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำการกระทำครั้งแรกมาฟ้องอีก (ฎ. 2083/39) เพราะตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกัน
และเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกัน ก็เป็นกรรมเดียวกัน แต่ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านฯ ตาม ป.อ. มาตรา 371
ในแต่ละครั้งเป็นความผิดต่างกรรมกัน
- จำเลยลักเอาเช็คหรือรับของโจรแล้วนำไปปลอม เพื่อเบิกถอนเงินจากธนาคารเป็นเจตนาเดียวกัน เพื่อให้ได้เงินไปจากธนาคาร จึงถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์
รับของโจร และฐาน เอาเอกสารของผู้อื่นไป
และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยไปแล้ว
โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้
เป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา 39(4)
- จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมก็เพื่อใช้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วม
เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องข้อหายักยอกจนศาลพิพากษาไปแล้ว
จะมาฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้
เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยระงับไปแล้ว
(ฎ. 3238/36)
-
ทำความผิดข้อหาปลอมเอกสาร แล้วผู้ทำนำเอกสารนั้นไปใช้ กฎหมายให้ลงโทษข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมนั้นอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องข้อหาปลอมเอกสาร
ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
ก็ต้องถือว่าความผิดในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอม
คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วย ฟ้องใหม่ในข้อหานี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 11326/09 ป.)
-
ในความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่าง
เมื่อมีการฟ้องเฉพาะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จะฟ้องการกระทำอื่นที่รวมอยู่ด้วยอีกไม่ได้
เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 424/20)
-
เบิกความเท็จหลายตอนในคราวเดียวกันเป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 908/96)
-
ความผิดฐานลักปืนของผู้เสียหายกับความผิดฐานมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 888/07 ป.)
-
ในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทหนึ่งเสร็จไปเพราะศาลชั้นต้น “จำหน่ายคดี เนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ”
ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงไม่ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดอื่นที่เป็นกรรมเดียวกันนั้น ระงับไปด้วย (ฎ.
7320/43)