10 ส.ค. 2560

กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา

          กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา มาจากสุภาษิตกฎหมายละติน Acta exteriora indicant interiora secreta
          เป็นหลักกฎหมายอาญา มีไว้สำหรับพิจารณาพฤติการณ์ในการกระทำของจำเลยเพื่อนำมาพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เพียงใด และยังใช้สำหรับแยกเจตนาฆ่าออกจากเจตนาทำร้ายร่างกายอีกด้วย เพราะถ้ามีเจตนาฆ่าย่อมต้องรับโทษหนักกว่าเจตนาทำร้าย เละเนื่องจากเจตนาเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของผู้กระทำเอง บุคคลภายนอกไม่มีใครหยั่งรู้ได้ ในการวินิจฉัยหรือพิสูจน์ว่าผู้กระทำมีเจตนากระทำความผิด มีเจตนาฆ่าหรือเพียงมีเจตนาทำร้ายเท่านั้น จึงต้องนำหลักว่า การกระทำที่แสดงออกมาภายนอกเป็นเครื่องชี้ถึงสภาพจิตใจของผู้กระทำ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา มาเป็นหลักในการวินิจฉัย

          การใช้หลักกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาเพื่อวินิจฉัยหรือพิสูจน์ว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่า หรือเจตนาทำร้ายนั้น ศาลไทยอาศัยข้อพิจารณา ดังต่อไปนี้ ***
          1. พิจารณาจากอาวุธที่ใช้กระทำ
          2. พิจารณาจากอวัยวะที่ถูกกระทำ
          3. พิจารณาจากลักษณะของบาดแผลที่ถูกกระทำ
          4. พิจารณาจากพฤติการณ์อื่นๆ


          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2498 ว่า ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามคำพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งสองต่างใช้ปืนแก๊บยิงซึ่งกันและกันฝ่ายละหนึ่งนัดโดยสมัครใจเข้าโรมรันซึ่งกัน กระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ยิงไม่ถูกจำเลยที่ 2 โดยพลาดไปถูกฝาใบตองพลวง กระสุนกระจายไปเสียก่อน แต่กระสุนปืนที่จำเลยที่ 2 ใช้ยิงจำเลยที่ 1 ถูกตามร่างกายจำเลยที่ 1 มีบาดเจ็บหลายแห่ง แสดงให้เห็นว่า ความแรงของกระสุนปืนที่จำเลยต่างใช้ยิงกันนี้ หากถูกในที่สำคัญอาจทำให้ผู้ถูกยิงถึงแก่ความตายได้ รูปคดีควรฟังว่า จำเลยต่างมีเจตนาจะฆ่าให้ถึงตาย แต่ที่ไม่ตายเพราะยิงพลาดไม่ถูกหรือถูกในที่ไม่สำคัญ ซึ่งเป็นเหตุอันพ้นวิสัยมาป้องกันขัดขวางเสีย จำเลยทั้งสองต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดวางบทกำหนดโทษจำเลยมาชอบแล้ว จึงให้ยกฎีกาจำเลย โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2501 ศาลฎีกาพิเคราะห์คำพยานโจทก์จำเลยแล้ว กรณีฟังได้ว่าการทำร้ายกันเกิดจากการโต้เถียงกันก่อนจริง และเชื่อว่าคงจะเกิดจากสาเหตุอย่างที่พยานโจทก์กล่าวมากกว่าอย่างจำเลยว่า เพราะไม่น่าจะทวงหนี้สินกันต่อหน้าชุมชนอย่างนั้น และเหตุเท่าที่จำเลยว่าแล้ว นายแดงก็ไม่น่าจะทำร้ายจำเลย ข้อที่จำเลยว่านายแดงได้ฟันจำเลยก่อนก็ไม่น่าเชื่อเพราะบาดแผลที่มือจำเลยเป็นบาดแผล กว้างเพียงหนึ่งเซนติเมตร สี่มิลลิเมตร, ยาวสองเซนติเมตร, ลึกหนึ่งเซนติเมตร ห้ามิลลิเมตร เป็นแผลเล็กน้อยไม่สมที่จะถูกฟันด้วยมีดโดยแรง ทั้งในปัจจุบันนั้นก็ไม่มีใครเห็นบาดแผลของจำเลย แม้นายสุนทรผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้ให้การถึงเลย คดีจึงต้องฟังว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายก่อนจริง แล้วผู้เสียหายจึงใช้มีดขว้างจำเลย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายนั้นยังไม่พอฟังว่าจำเลยมี เจตนาฆ่าผู้เสียหายเพราะจำเลยยิงไปถูกที่ขาเหนือตาตุ่ม ขณะนั้นจำเลยกับผู้เสียหายอยู่ห่างกันเพียงวาเศษ ถ้าจำเลยตั้งใจจะฆ่าผู้เสียหายแล้วก็คงยิงถูกร่างกายผู้เสียหายในที่สำคัญ ๆ ได้ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 297 ป.อ. จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนดสองปี

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 777/2505 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ที่จำเลยฎีกาว่าตอนเกิดเหตุจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทกับผู้ตายนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะนายนิตย์พยานจำเลยเบิกความรับว่าผู้ตายร้องท้าว่า "หรุ่น (นายหรุ่น สุขชูพร จำเลย) เอาหรือวะ" จำเลยก็โดดลงจากเรือพูดว่า "แน่รึ" แล้วต่างก็เข้าต่อสู้กัน จึงฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตาย ไม่ใช่เป็นการป้องกันตัว ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า จำเลยใช้มีดดาบยาวหนึ่งแขน กระโดดลงจากเรือไปต่อสู้กับผู้ตาย และฟันผู้ตายถึงสามแห่ง แผลที่สำคัญถูกคอเกือบขาดแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา แต่ได้ความว่าเกิดเหตุแล้วจำเลยเข้ามอบตัวต่อกำนันและเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด ประกอบกับผู้ตายได้ท้าทายก่อนมีเหตุบรรเทาโทษ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 288  ให้จำคุกสิบห้าปี ลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือจำคุกเจ็ดปี หกเดือน

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2510 ผู้ตายมีขวานและมีดขอเป็นอาวุธ จำเลยมีมีดพกเป็นอาวุธ ได้เข้าโรมรันซึ่งกันและกันโดยต่างไม่มีเวลาที่จะเลือกแทงเลือกฟันแทงในที่สำคัญ ทั้งสองคนมีบาดแผลรวมเจ็ดแห่งด้วยกัน ผู้ตายเสียโลหิตมากจึงถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา ไม่ใช่ฐานฆ่าคนโดยเจตนา

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2510 ขณะที่ผู้ตายต่อยกับน้องภริยาจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 2 ได้ยิงไปก่อนหนึ่งนัดถูกผู้ตาย แล้วต่อมาจำเลยที่ 1 จึงได้ยิงไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองยิงไปนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดนั้น โดยต่างคนต่างกระทำลงไปมิได้สมคบร่วมรู้กันมาก่อน จะฟังว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายไม่ได้ ผู้ตายมีบาดแผลถูกยิงแผลเดียว และฟังได้ว่าแผลที่ถูกยิงนั้นเป็นผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงไปยังผู้ตายกับพวกหลายนัดนั้น ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกที่ไม่สำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2534 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยยิงขู่เพราะจำเลยอาจเลือกยิงบริเวณอื่นที่สำคัญและยิงแล้วก็มิได้ยิงซ้ำนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะหากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่น ยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น ข้ออ้างของจำเลยในเรื่องยิงขู่จึงไม่ประกอบด้วยเหตุผลอันจะพึงรับฟัง ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายหรือพวกผู้เสียหายจะเข้าทำร้ายจำเลย อันจะถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13908/2558   โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ก่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันฆ่า ส. ผู้เสียหายและ อ. ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมา จำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัดโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเนื่องจากถูกใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมจากจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ขัดแย้งกับผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 มอบอาวุธปืนและบอกให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหาย การมอบอาวุธปืนมีกระสุนปืนหลายนัดให้จำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่าให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหายโดยใช้ปืนยิงและย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้เสียหายไม่ตายก็ย่อมได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลกระสุนปืน จึงเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดโดยเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำตามที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4), 80 ประกอบมาตรา 84 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จัก ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 บอกให้จำเลยที่ 1 ไปสั่งสอนผู้เสียหายให้เข็ดหลาบ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ทราบเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายนัดหมายผู้ตายมารับเพื่อเดินทางกลับบ้าน ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดตามผู้เสียหายและผู้ตายไป ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดหมายว่าจำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายด้วย การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาก่อให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทางพิจารณาโจทก์สืบไม่สมฟ้องในความผิดฐานดังกล่าว จึงต้องยกฟ้องในข้อหานี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21379/2556  การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไล่ทำร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระชั้นชิดโดยถือไม้ถูพื้นชูออกนอกรถยนต์เพื่อข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง โดยมีเจตนาจะทำร้ายผู้ตายกับพวก และผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ตายต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีการถูกไล่ทำร้ายจนเกิดเหตุชนกับรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16412/2555  วันเวลาเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นหญิงคนรักนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ระหว่างทางได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับล้มลงทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ตกจากรถจักรยานยนต์ได้รับอันตรายสาหัสนอนหมดสติในพงหญ้าข้างทาง แล้วจำเลยหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือ ทิ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 นอนหมดสติในที่เกิดเหตุ เป็นเวลานานถึง 8 วัน และไม่แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาทราบ จนมีผู้ไปพบผู้เสียหายที่ 2 จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การงดเว้นไม่ให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหายที่ 2 อาจถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 59 วรรคท้าย

------------------
*** อ.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1,  พิมพ์ครั้งที่ 5,  (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540)