10 ธันวาคม 2559

สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลและคำพิพากษาตามยอม จะมีผลผูกพันบุคคลภายนอกที่ลงชื่อเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด

          การทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลนั้น เป็นกระบวนการที่มีขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างคู่ความ และมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดอย่างคดีธรรมดาที่จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานของคู่ความ ซึ่งในบางครั้งอาจมีบุคคลภายนอกเข้ามายอมเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นด้วยและศาลก็จะพิพากษาตามยอมไปได้โดยไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย 
          ป.พ.พ.มาตรา 850 "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ หรือ จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน"
          ป.วิ.พ.มาตรา 138 วรรคหนึ่ง "ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอม ความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลง หรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนี ประนอมยอมความเหล่านี้ไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น"
          กรณีที่จะมีปัญหาคือบุคคลภายนอกซึ่งเข้ามาเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลด้วยนั้น หากผิดสัญญายอมแล้วโจทก์จะขอบังคับคดีได้เลยหรือไม่ เรื่องนี้ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยไว้ว่า คู่สัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำในศาลมีผลผูกพันตามสัญญานั้น แต่คู่สัญญาที่ไม่ใช่คู่ความในคดีจะผูกพันเฉพาะสัญญาประนอมยอมความเท่านั้น ไม่ผูกพันในคำพิพากษาตามยอมนั้นด้วย เพราะคำพิพากษาตามยอมซึ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันเฉพาะคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความด้วย ดังนั้น หากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญา ก็ต้องไปว่ากล่าวเอากับบุคลภายนอกเป็นคดีใหม่ต่างหาก โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับคดีแก่บุคคลภายนอกนั้น โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมนั้นแต่อย่างใด
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2559   ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นกรณีที่โจทก์ จำเลยมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างกันและมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดอย่างคดีธรรมดาที่จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยแล้วพิพากษาชี้ขาดประเด็นข้อพิพาท ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความจึงอาจมีผลไม่ตรงหรือไม่เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องได้ ถ้าข้อตกลงนั้นเกี่ยวพันกับประเด็นแห่งคดีและไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพราะเป็นไปตามข้อตกลงที่คู่ความต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 142 ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความในคดีรวมทั้ง นาง ก. และนางสาว น. ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย แม้จะมีนาง ก. และนางสาว น. เข้าร่วมตกลงด้วย
          การที่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง นาง ก. และนางสาว น. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความจึงชอบด้วยกฎหมาย ผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่ายในสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนคำพิพากษาตามยอมซึ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันเฉพาะคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความเว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142 (1), 245 และ 274 และในข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) (2) เมื่อนาง ก. ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอบังคับคดีแก่นาง ก. โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่นาง ก. เป็นคดีต่างหาก แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 11 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงในสัญญายอมข้อใดข้อหนึ่งให้บังคับคดีไปตามสัญญายอมนี้ได้ทันที โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลเป็นการแสดงเจตนา พร้อมให้ชำระเงิน 2,000,000 บาท แก่คู่ความอีกฝ่ายด้วย ก็มีความหมายเพียงว่า ถ้าคู่สัญญาคนใดในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญาข้อใดก็ให้บังคับคดีเอาแก่คู่สัญญานั้นตามสัญญาแต่ละข้อเท่านั้น เพราะในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสองกับนาง ก. ต้องรับผิดร่วมกันในการชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมิได้ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเอาแก่โจทก์ทั้งสอง



05 ธันวาคม 2559

ลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย

          ความผิดฐานฉ้อโกงกับลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย มีความสอดคล้องคล้ายคลึงกันมากเพราะมีการหลอกลวงเป็นเหตุให้ได้ทรัพย์ของผู้อื่นไปเช่นกัน
          หลักสำคัญ คือ การลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้ซึ่ง "การครอบครอง" ทรัพย์ของผู้เสียหาย  ส่วนการฉ้อโกง เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้ซึ่ง "กรรมสิทธิ์" ทรัพย์ของผู้เสียหาย 
          มาตรา  334  "ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท"
          มาตรา 335 "ผู้ใด ลักทรัพย์
                (1) ในเวลากลางคืน
                (2) ในที่หรือบริเวณ ที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือ ในที่ หรือ บริเวณ ที่มีอุบัติเหตุ เหตุทุกขภัย แก่ รถไฟ หรือ ยานพาหนะอื่น ที่ประชาชนโดยสาร หรือ ภัยพิบัติอื่น ทำนองเดียวกัน หรือ อาศัยโอกาส ที่มีเหตุ เช่นว่านั้น หรือ อาศัยโอกาส ที่ประชาชน กำลังตื่นกลัว ภยันตรายใดๆ
                (3) โดยทำอันตราย สิ่งกีดกั้น สำหรับคุ้มครอง บุคคล หรือ ทรัพย์ หรือ โดยผ่าน สิ่งเช่นว่านั้น เข้าไป ด้วยประการใดๆ
                (4) โดยเข้า ทางช่องทาง ซึ่ง ได้ทำขึ้น โดยไม่ได้จำนง ให้เป็นทางคนเข้า หรือ เข้าทางช่องทาง ซึ่ง ผู้เป็นใจเปิดไว้ให้
                (5) โดยแปลงตัว หรือ ปลอมตัว เป็นผู้อื่น มอมหน้า หรือ ทำด้วยประการอื่น เพื่อไม่ให้ เห็นหรือจำ หน้าได้
                (6) โดยลวงว่า เป็นเจ้าพนักงาน
                (7) โดยมี อาวุธ หรือ โดยร่วมกระทำความผิด ด้วยกันตั้งแต่ สองคน ขึ้นไป
                (8) ใน เคหสถาน สถานที่ราชการ หรือ สถานที่ ที่จัดไว้ เพื่อบริการสาธารณ ที่ตนได้เข้าไป โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ ซ่อนตัว อยู่ในสถานที่นั้นๆ
                (9) ในสถานที่บูชาสาธารณ สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน ที่จอดรถ หรือ เรือสาธารณ สาธารณสถาน สำหรับขนถ่ายสินค้า หรือ ในยวดยานสาธารณ
                (10) ที่ใช้ หรือ มีไว้ เพื่อสาธารณประโยชน์
                (11) ที่เป็นของ นายจ้าง หรือ ที่อยู่ใน ความครอบครอง ของนายจ้าง
                (12) ที่เป็นของ ผู้มีอาชีพกสิกรรม บรรดาที่เป็น ผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์ สัตว์ หรือ เครื่องมือ อันมีไว้ สำหรับประกอบกสิกรรม หรือ ได้มาจากการกสิกรรม นั้น
            ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท
            ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราดังกล่าวตั้งแต่สองอนุมาตราขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
            ถ้าความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกล หรือเครื่องจักร ที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
            ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรานี้ เป็นการกระทำโดยความจำใจ หรือความยากจนเหลือทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาเล็กน้อย ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334 ก็ได้"



          ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้ เป็นการหลวงเพื่อให้ผู้ขายขายรถให้แก่จำเลยกับพวก จำเลยได้รับรถคันดังกล่าวไป โดยจะต้องมาทำสัญญาเช่าซื้อกันภายหลัง แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยในขณะที่มีการหลอกลวง จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายมิใช่ฉ้อโกง เมื่อเป็นความผิดฐานลักทรัพย์จึงมีผลให้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่สามารถยอมความได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16161 - 16162/2557 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาโดยคู่ความไม่โต้แย้งว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 เคยนำลูกค้ามาซื้อรถยนต์มือสองที่บริษัทผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามไปที่บริษัทผู้เสียหาย จำเลยที่ 3 แจ้งต่อนาย ท. พนักงานของผู้เสียหายว่าต้องการซื้อรถยนต์ยี่ห้อโต้โยต้าชนิด 4 ประตู ยกสูงหรือฟรีแลนด์เนอร์ ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฌจ 3215 กรุงเทพมหานคร ตรงตามที่จำเลยที่ 3 ต้องการซื้อ จำเลยที่ 3 แจ้งว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ซื้อด้วยวิธีการผ่อนชำระ โดยจำเลยที่ 3 จะค้ำประกันให้และจำเลยที่ 3 นำสำเนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 -01 ข) ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม แสดงต่อนาย ท.และพนักงานขายคนอื่น ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 แจ้งว่าทำงานดูแลรีสอร์ตของพี่สาว โดยจำเลยที่ 2 พูดสนับสนุนจำเลยที่ 1 และบอกด้วยว่าจำเลยที่ 3 มีสวนยางพารา เพื่อให้นาย ท.และพนักงานขายเชื่อถือ ในการขายรถยนต์ด้วยวิธีผ่อนชำระจะต้องทำสัญญาเช่าซื้อกับสถาบันการเงินก่อนหรืออย่างช้าในวันรับรถ แต่เนื่องจากช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ สถาบันการเงินผู้ให้เช่าซื้อไม่สะดวกที่จะมารับเอกสารหรือทำสัญญาเช่าซื้อ ประกอบกับนาย ท.เชื่อใจจำเลยทั้งสามเพราะจำเลยที่ 3 เคยติดต่อบริษัทผู้เสียหายหลายครั้ง จึงตกลงขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฌจ 3215 กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยที่ 1 ในราคา 725,000 บาท ตกลงเงินดาวน์ 75,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระในวันดังกล่าว 40,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในภายหลังโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและนัดหมายให้จำเลยทั้งสามมาทำสัญญาเช่าซื้อวันที่ 19 เมษายน 2555 หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามรับรถยนต์คันดังกล่าวจากผู้เสียหายไป เมื่อถึงกำหนดจำเลยทั้งสามไม่ไปตามนัด ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4
          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์และความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์กับความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันลักรถยนต์ของผู้เสียหายมาตั้งแต่แรกโดยวิธีการวางแผนทำสัญญาจะซื้อจะขายและแสดงสำเนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 -01 ข) ซึ่งเป็นเพียงกลอุบายแย่งเอารถยนต์คันดังกล่าวไปจากความครอบครองของผู้เสียหายโดยมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำนั้น เห็นว่า การที่นาย ท. พนักงานขายของผู้เสียหายยอมขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฌจ 3215 กรุงเทพมหานคร ให้แก่จำเลยทั้งสามนั้น เป็นเพราะจำเลยทั้งสามร่วมกันแสดงสำเนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 -01 ข) ปลอม และเชื่อใจจำเลยที่ 3 ที่เคยติดต่อซื้อรถยนต์จากผู้เสียหายหลายครั้ง หากจำเลยทั้งสามไม่ร่วมกันแสดงสำเนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 -01 ข) ปลอม นาย ท.คงไม่ตกลงขายรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสามด้วยวิธีผ่อนชำระ การที่นาย ท. ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามจึงมิได้เกิดจากการที่จำเลยทั้งสามหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย แต่เกิดจากเชื่อว่าจำเลยทั้งสามสามารถชำระราคารถยนต์ได้ การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้สำเนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 -01 ข) ปลอม เพื่อให้พนักงานขายของผู้เสียหายตกลงขายรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสาม จึงเป็นเพียงวิธีการที่จะทำให้จำเลยทั้งสามเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรณีมีเจตนาทุจริตที่จะเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปตั้งแต่ต้นแล้ว จึงมิใช่เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย แต่เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ซึ่งการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมไปแสดงต่อพนักงานขายของผู้เสียหายเพื่อให้พนักงานขายของผู้เสียหายขายรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสามและจำเลยทั้งสามเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปนั้น เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อให้ได้รถยนต์ของผู้เสียหายเท่านั้น แม้การกระทำแต่ละอย่างจะเป็นความผิดก็เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

29 พฤศจิกายน 2559

ความสำคัญผิดที่เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้

          มาตรา  158 "ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้"

          กรณีที่ความสำคัญผิดเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนาแล้ว ไม่ว่าความสำคัญผิดนั้นจะเป็นความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมที่ทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะตามมาตรา 156 หรือความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญที่ทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 ก็ตาม กฎหมายได้ห้ามมิให้ผู้แสดงเจตนาที่สำคัญผิดนั้น จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้เลย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4906/2558  โจทก์ไม่สนใจที่จะตรวจสอบที่ดินที่จะซื้อจะขายว่า มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลย ประกอบกับจำเลยก็ได้ให้คำเตือนให้โจทก์ต้องตรวจสอบแล้ว แต่โจทก์กลับไม่นำพา จึงเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ โจทก์จะถือเอาความสำคัญผิดในคุณสมบัติของที่ดินที่จะซื้อจะขายนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 158 สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวยังคงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย ไม่ตกเป็นโมฆียะ        



          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7058/2543  ผู้ซื้อทรัพย์มีความประสงค์จะประมูลซื้อทรัพย์จำนองจริง และเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์จำนองรายนี้ได้ในราคาสูงสุด แต่มีการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์จำนองหลายรายการทำให้ผู้ซื้อทรัพย์สับสนโดยนำราคาที่จะต้องเข้าประมูลในคดีอื่นมาประมูลซื้อในคดีนี้ จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อทรัพย์แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในราคาอันเป็นคุณสมบัติของทรัพย์ แต่ความสำคัญผิดของผู้ซื้อทรัพย์เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการแสดงเจตนาเข้าประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่ตรวจสอบราคาให้ถูกต้อง ผู้ซื้อทรัพย์จะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 จึงไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการขายทอดตลาด
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360-3410/2543   แม้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินแปลงพิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะระบุว่า ที่ดินพิพาทมีอาณาเขตทิศเหนือยาวประมาณ 14.5 วา จดที่ดินนายอากรกิจซึ่งน่าจะหมายถึงผู้ร้อง และก่อนที่จะมีการขายทอดตลาดผู้แทนโจทก์จะได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีและผู้ร้องไปชี้ที่ดินพิพาทก็ตาม แต่การขายที่ดินพิพาทเป็นการขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายที่ดินตามปกติทั่ว ๆ ไป เนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโดยระบุรายละเอียดหมายเลขน.ส.3 ก. เลขที่ดิน และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้อย่างชัดแจ้ง อีกทั้งเป็นการประกาศอย่างเปิดเผยต่อประชาชนทั่ว ๆ ไป ผู้ร้องหรือบุคคลอื่น ๆ ที่ประสงค์จะเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาทย่อมมีโอกาสตรวจสอบความถูกต้องของที่ดินพิพาทก่อนที่จะเข้าประมูลสู้ราคาได้การที่ผู้ร้องอ้างว่า สำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทอยู่ติดกับที่ดินของผู้ร้องนั้น ก็ได้ความว่าผู้ร้องเพียงแต่อาศัยข้อมูลที่ตั้งของที่ดินพิพาทจากการนำชี้ของผู้แทนโจทก์โดยมิได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องที่ตั้งของที่ดินพิพาทก่อนที่จะเข้าประมูลสู้ราคา ทั้ง ๆ ที่สามารถจะกระทำได้ จึงเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเองและถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดในที่ตั้งของที่ดินแปลงพิพาทมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 และเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินแปลงพิพาทโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ.และระเบียบของกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 จึงไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินแปลงพิพาท
       
          ความสำคัญผิดต้องเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา ถ้าเกิดจากความประมาทเลินเล่อธรรมดาที่ไม่ร้ายแรง ก็ไม่ห้ามบุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตน
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4997/2549  ในวันนัดจดทะเบียนขายฝากที่ดิน โจทก์ให้จำเลยที่ 1 พาโจทก์ไปดูที่ดินที่จะขายฝาก จำเลยที่ 1 กลับชี้ให้โจทก์ดูที่ดินของผู้อื่นซึ่งอยู่ติดถนนลาดยางแปลงเดียวกับที่จำเลยที่ 2 เคยพาบุคคลอื่นไปดู ซึ่งมิใช่ที่ดินของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 2 หลอกลวงโจทก์ให้รับซื้อฝากที่ดินต่อโจทก์ ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงนายหน้าของจำเลยที่ 1 หรือเป็นผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 แล้วนำไปขายต่อให้แก่โจทก์ และไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์หวังผลกำไรจากการรับซื้อฝากที่ดินหรือไม่ เพราะมิใช่สาระสำคัญที่จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่โจทก์หลงเชื่อและรับฝากที่ดินไว้จากจำเลยที่ 1 โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินแปลงที่อยู่ติดถนนลาดยางตามที่จำเลยที่ 1 นำชี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และเป็นกรณีที่โจทก์แสดงเจตนารับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม อันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 มีผลเท่ากับการขายฝากที่ดินมิได้เกิดมีขึ้น และไม่ก่อสิทธิใด ๆ แก่จำเลยที่ 1 ที่จะยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้ได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย