8 เม.ย. 2559

สิทธิเหนือพื้นดิน ซึ่งไม่มีกำหนดเวลา เจ้าของที่ดินจะบอกเลิกเสียเมื่อใดก็ได้


          ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
          มาตรา 1410  "เจ้าของที่ดินอาจก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่บุคคลอื่นโดยให้บุคคลนั้นมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูก บนดินหรือใต้ดินนั้น"
          มาตรา 1413  "ถ้าสิทธิเหนือพื้นดินนั้นไม่มีกำหนดเวลาไซร้ ท่านว่าคู่กรณีฝ่ายใดจะบอกเลิกเสียในเวลาใดก็ได้ แต่ต้องบอกล่วงหน้าแก่อีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร ถ้ามีค่าเช่าซึ่งจำต้องให้แก่กันไซร้ ท่านว่าต้องบอกล่วงหน้าปีหนึ่ง หรือให้ค่าเช่าปีหนึ่ง"
          มาตรา 1298 " ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น"

          เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของตนบางส่วนทำแปลงเพาะชำต้นกล้าโดยไม่มีค่าตอบแทน และไม่มีกำหนดระยะเวลา หากเจ้าของที่ดินต้องการที่ดินคืนวันใดจะแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร ดังนี้ เป็นการยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินของเจ้าของที่ดินเป็นการชั่วคราวในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดินซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นกรณีสิทธิเหนือพื้นดินไม่มีกำหนดเวลาและเจ้าของที่ดินไม่ต้องการให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินดังกล่าวต่อไป เจ้าของที่ดินย่อมบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินนั้นได้ ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่เป็นการผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์

          
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1170/2543  - จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยบางส่วนทำแปลงเพาะชำต้นกล้ากระท้อนโดยไม่มีค่าตอบแทน และไม่มีกำหนดระยะเวลา หากจำเลยต้องการที่ดินคืนวันใดจะแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร ดังนี้ เป็นการยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยเป็นการชั่วคราวในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดินซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง โจทก์จะอ้างว่าในการเข้าใช้ที่ดินเพื่อเพาะชำต้นกล้ากระท้อนย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี เพื่อประโยชน์ของโจทก์ฝ่ายเดียวมิได้ เมื่อเป็นกรณีสิทธิเหนือพื้นดินไม่มีกำหนดเวลาและจำเลยไม่ต้องการให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินดังกล่าวต่อไป จำเลยย่อมบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินนั้นได้ ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่เป็นการผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์
          แม้จำเลยจะบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินของจำเลยภายใน 2 วันแต่โจทก์ก็ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนดดังกล่าว ตรงข้ามโจทก์กลับห้ามคนงานมิให้เข้าไป และโจทก์ได้ขนของออกไปจากที่ดินของจำเลยหลังจากจำเลยบอกกล่าวถึง 1 เดือนเศษ นับว่าจำเลยได้ให้เวลาแก่โจทก์พอสมควรแล้วเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งโจทก์ แม้จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
           
          คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3928 จำเลยยินยอมให้โจทก์เข้าไปทำแปลงเพาะชำต้นกล้ากระท้อนเพื่อจำหน่ายในที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 2 งาน 50 ตารางวา โดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่มีกำหนดเวลา มีข้อตกลงว่า หากจำเลยต้องการที่ดินคืน จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร เพื่อให้โจทก์มีเวลาเพียงพอในการขนย้ายทรัพย์สินโจทก์จ้างคนงานถากวัชพืชและปรับพื้นที่ให้ราบเรียบพร้อมทั้งขนเครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อันจำเป็นต้องใช้ในแปลงเพาะชำและทำรั้วกั้นตาข่ายรอบบริเวณแปลงเพาะชำ โจทก์ทำแปลงเพาะชำเพาะต้นกล้ากระท้อน 7,000 ถุง ต่อมาจำเลยห้ามโจทก์และบริวารไม่ให้เข้าไปในที่ดินโดยไม่กำหนดเวลาพอสมควรแก่โจทก์ในการขนย้ายทรัพย์สิน โจทก์และบริวารไม่อาจเข้าไปในแปลงเพาะชำได้ตามปกติเป็นเหตุให้ต้นกล้ากระท้อนจำนวน 7,000 ถุง ของโจทก์ตายเสียหายหมด การกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 735,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์
           
          คดีได้ขึ้นสู่ศาลฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3928 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2537 จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยบางส่วนทำแปลงเพาะชำต้นกล้ากระท้อนโดยไม่มีค่าตอบแทน และไม่มีกำหนดระยะเวลาโจทก์เริ่มเข้าใช้ที่ดินวันที่ 22 สิงหาคม 2537 โดยปรับที่ดิน ระหว่างนั้นคนงานของโจทก์ขุดพบเหรียญเงินโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 จำนวน 61 เหรียญ ในที่ดินของจำเลยโจทก์ได้คืนเหรียญเงินดังกล่าวแก่จำเลยแล้ว 18 เหรียญ
          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นการผิดสัญญากับโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาในประการแรกว่าการเข้าไปเพาะชำต้นกล้ากระท้อนต้องถากพื้นดิน กั้นรั้ว และแปลงเพาะชำต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต้นกล้าจึงจะโต ซึ่งจำเลยย่อมรู้ดีอยู่แล้วเท่ากับจำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน การที่จำเลยให้โจทก์ออกไปจากที่ดินก่อนเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่าการที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเพาะชำต้นกล้ากระท้อนเป็นการยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยเป็นการชั่วคราวในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดินซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ระบุว่าจำเลยยอมให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ หากจำเลยต้องการที่ดินคืนวันใดจะแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร ดังนี้ โจทก์จะอ้างว่าในการเข้าใช้ที่ดินเพื่อเพาะชำต้นกล้ากระท้อนย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวนั้นมิได้ เมื่อเป็นกรณีสิทธิเหนือพื้นดินไม่มีกำหนดเวลาและจำเลยไม่ต้องการให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินดังกล่าวต่อไป จำเลยย่อมบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินนั้นได้จำเลยจึงมิได้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์
          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อไปว่า การที่จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินโดยให้เวลาเพียง 2 วัน เป็นการบอกกล่าวโดยไม่ให้เวลาตามสมควรทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินของจำเลยภายใน 2 วัน โดยบอกกล่าวเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2537แต่โจทก์ก็ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนดดังกล่าว ตรงข้ามกลับห้ามคนงานมิให้เข้าไป และปรากฏว่าโจทก์ได้ขนของออกไปจากที่ดินของจำเลยในวันที่ 14 ตุลาคม 2537 หลังจากจำเลยบอกกล่าวถึง 1 เดือนเศษ นับว่าจำเลยได้ให้เวลาแก่โจทก์พอสมควรแล้ว ซึ่งโดยปกติเมื่อจำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ขนของออกไปแล้วโจทก์ไม่ยอมขนออกไปย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลย จำเลยมีสิทธิไปแจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่โจทก์ได้ แม้จำเลยจะแจ้งความระบุถึงเรื่องการที่โจทก์ไม่คืนเหรียญเงินโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คนงานของโจทก์ขุดดินในที่ดินของจำเลย แล้วทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจนถึงขั้นไม่ยอมอนุญาตให้โจทก์ใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยต่อไปนั่นเอง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งโจทก์อย่างใด แม้จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์