25 กันยายน 2557

คำมั่นจะให้เช่าไม่ใช่หน้าที่ตามสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ตกติดไปกับผู้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เช่า

          ป.พ.พ.มาตรา 569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
          ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

          ดังที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 569 ว่าแม้โอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์(บ้าน อาคาร หรือที่ดิน)ที่ให้เช่าไป สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ยังไม่ระงับ คือ สัญญาเช่ามีอยู่อย่างไรก็ยังคงบังคับกันไปโดยผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งผู้โอนมีต่อผู้เช่านั้นต่อไป แต่จะมีปัญหาในบางกรณีที่มีข้อตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงื่อนไขการต่อสัญญาเช่า ว่าผู้รับโอนจะต้องรับผิดชอบตามข้อตกลงนั้นด้วยหรือไม่


          ตัวอย่าง

          นายแดงทำสัญญาให้นายดำเช่าบ้านมีกำหนด 3 ปี ค่าเช่าเดือนละ 6,000 บาท กำหนดชำระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือน และให้คำมั่นไว้ด้วยว่าจะให้เช่าต่อไปอีก 3 ปี หากผู้เช่ามีความประสงค์จะเช่าต่อไป จากนั้นเมื่อให้เช่าไปแล้ว 2 ปี นายแดงเอาบ้านที่ให้เช่าไปทำสัญญาและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายเขียว มีกำหนดไถ่ถอนภายใน 2 ปี แล้วแจ้งให้นายดำซึ่งเป็นผู้เช่าทราบ ต่อมาเมื่อก่อนจะครบสัญญาเช่า 3 ปี นายดำได้ไปแสดงเจตนาต่อนายเขียวว่าจะเช่าอยู่ต่อไปอีก 3 ปี นายเขียวทราบเรื่องแล้วไม่ว่าอะไร คงเก็บค่าเช่าเรื่อยมา จากนั้นเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า 3 ปีแล้วผ่านไปอีก 5 เดือน นายแดงได้ไปไถ่ถอนบ้านที่ขายฝากคืนจากนายเขียว จากนั้นนายแดงก็ฟ้องขับไล่นายดำออกจากบ้านเช่าของตน เรื่องไปจบที่ศาล
          ศาลพิพากษาให้ขับไล่นายดำออกจากบ้านเช่า โดยให้เหตุผลว่า สัญญาเช่าบ้าน 3 ปี ระหว่างนายแดงและนายดำมีอยู่ก่อนการขายฝาก จึงต้องตกติดไปยังนายเขียวผู้รับซื้อฝากตาม ป.พ.พ.มาตรา 569 แต่คำมั่นที่จะให้เช่าไม่ตกติดไปด้วยเพราะไม่ใช่หน้าที่ตามสัญญาเช่า คงตกติดไปเฉพาะ "สัญญาเช่า" เท่านั้น ดังนั้น การแสดงเจตนาของนายดำต่อนายเขียวซึ่งแม้จะทำตามคำมั่นก็ไม่เกิดสัญญาเช่าขึ้น แต่การอยู่ต่อมาของนายดำผู้เช่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญา 3 ปีแล้ว โดยผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง ทำให้เป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 570  การที่นายแดงไถ่ถอนการขายฝากเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าไปได้ 5 เดือนนั้น แม้นายดำจะต้องการแสดงเจตนาเข้ารับคำมั่นในตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะการแสดงเจตนาเข้ารับคำมั่นจะให้เช่าจะต้องกระทำภายในสัญญาเช่า คือ 3 ปี ส่วนระยะเวลา 5 เดือนก่อนมีการไถ่ถอนการขายฝากนั้นถือว่า เป็นการเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาระหว่างนายเขียวกับนายดำ เมื่อนายแดงไถ่ถอนการขายฝาก ตามมาตรา 502 วรรคหนึ่ง ทรัพย์ที่ไถ่ถอนย่อมปลอดจากสิทธิใดๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการขายฝาก การเช่าจึงไม่ติดมาในตอนที่นายแดงไถ่ถอน นายแดงจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่นายดำได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนล่วงหน้า ตามมาตรา 566
          สรุปว่า คำมั่นจะให้เช่่าที่เป็นข้อตกลงในสัญญาเช่า ไม่ใช่หน้าที่ตามสัญญาเช่า ผู้รับโอนทรัพย์สินที่ให้เช่าจึงไม่ผูกพันตามคำมั่นนั้น




24 กันยายน 2557

กรณีกรรมการบริษัทได้กระทำการใดให้บริษัทเสียหาย บริษัทสามารถฟ้องกรรมการผู้นั้นได้ แต่ถ้าบริษัทไม่ฟ้อง ผู้ถือหุ้นคนใดจะฟ้องคดีเองก็ได้

          กรณีที่กรรมการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท
          ป.พ.พ.มาตรา 1169  "ถ้ากรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีบริษัทไม่ยอมฟ้อง ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้
          อนึ่ง การเรียกร้องเช่นนี้ เจ้าหนี้บริษัทจะเป็นผู้เรียกบังคับก็ได้เท่าที่เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิเรียกร้องแก่บริษัทอยู่"

          กรณีกรรมการบริษัทไปทำนิติกรรมสัญญาใดๆที่ทำให้บริษัทต้องเสียเปรียบหรือได้รับความเสียหาย ผู้ถือหุ้นของบริษัทหามีอำนาจไปฟ้องเพิกถอนนิติกรรมนั้นแต่อย่างใดไม่ คงมีสิทธิเพียงให้บริษัทฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการคนนั้น หรือหากบริษัทไม่ยอมฟ้อง ผู้ถือหุ้นดังกล่าวก็ฟ้องเองได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1169

          ตัวอย่าง เช่น
          นาย ป.เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1  ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยนาย ช. และนาย ว. กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินจำนวน 3 แปลงให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 54,000,000 บาทโดยมิได้รับความยินยอมจากนาย ป. และผู้ถือหุ้นคนอื่น โดยในการขายที่ดินดังกล่าวมิได้จ่ายเงินกันจริง วันเดียวกันนั้น จำเลยที่ 2 นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้แก่บริษัทจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 29,000,000 บาท โดยกรรมการบริษัทจำเลยที่ 3 ทราบเรื่องดังกล่าวดี นาย ป. เมืื่อทราบเรื่องดังกล่าวจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองดังกล่าวเสีย
          ซึ่งศาลได้มีคำวินิจฉัยว่า การฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นการจัดการงานของบริษัทจำเลยที่ 1  นาย ป.ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้เป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกระทำการใดๆแทนบริษัทจำเลยที่ 1 คงมีสิทธิเพียงควบคุมการดำเนินงานของบริษัทจำเลยที่ 1 บางประการตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น หาอาจก้าวล่วงไปจัดการงานของบริษัทจำเลยที่ 1 เสียเองไม่ และแม้ตัว นาย ป.(โจทก์)เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วยอีกคนหนึ่ง แต่ตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเอกสารท้ายคำฟ้อง ลำพังนาย ป.(โจทก์) คนเดียวไม่มีอำนาจกระทำการใดๆแทนบริษัทจำเลยที่ 1 เช่นกัน นาย ป.(โจทก์) จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและสัญญาจำนอง  
          แต่ นาย ป (โจทก์) และผู้ถือหุ้นคนอื่นสามารถใช้มติที่ประชุมใหญ่ถอดถอนกรรมการชุดเดิมและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ แล้วให้กรรมการชุดใหม่ดำเนินการฟ้องแทนบริษัทจำเลยที่ 1 หรือหากนาย ป. (โจทก์) และผู้ถือหุ้นรายอื่นเสียหายก็สามารถเรียกร้องให้บริษัทจำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ก่อให้เกิดความเสียหายได้ โดยหากบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ฟ้อง นาย ป.(โจทก์) ในฐานะผู้ถือหุ้นจะดำเนินการฟ้องเองตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ก็ได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6250/2541)
          
          ดังนั้น ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการที่ไม่มีอำนาจ ไม่สามารถเข้าไปจัดการงานของบริษัทโดยตนเองได้ ต้องให้กรรมการของบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเป็นคนจัดการ หากผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหายเนื่องมาจากการกระทำของกรรมการผู้มีอำนาจทำให้บริษัทเสียหาย ผู้ถือหุ้นต้องเรียกร้องให้บริษัทเป็นคนฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการเท่านั้น ถ้าบริษัทไม่ยอมฟ้อง ผู้ถือหุ้นก็ไปฟ้องเอง ตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4605/2561 ความเกี่ยวพันระหว่างผู้ลงทุนในบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 22 มาตรา 1015 ซึ่งกำหนดว่า บริษัทเมื่อได้จดทะเบียนตามบทบัญญัติลักษณะดังกล่าวแล้ว จัดว่าเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้ถือหุ้นทั้งหลายซึ่งรวมเข้ากันเป็นบริษัทนั้น โดยบทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเป็นบทบังคับโดยเด็ดขาด มิได้มีลักษณะเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นตามกฎหมาย ที่จะสามารถนำสืบเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จากบทบัญญัติดังกล่าวบริษัทจึงมีสิทธิหน้าที่แยกต่างหากจากบรรดาผู้ถือหุ้น สามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของตนเอง ทรัพย์สินของบริษัทจึงแยกต่างหากจากทรัพย์สินของบรรดาผู้ถือหุ้น หากบริษัทก่อหนี้สินก็ต้องถูกบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของบริษัท
          โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริงในบริษัทจำเลยที่ 1 โดยบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือหุ้นแทนโจทก์ หากเป็นจริงดังที่กล่าวอ้าง โจทก์ก็มีสถานะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ซึ่งผู้ที่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัท ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัทซึ่งเป็นผู้แทนนิติบุคคลของบริษัท จะมีสิทธิแต่เพียงควบคุมการดำเนินงานของกรรมการบริษัทบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หาอาจก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของบริษัทเสียเองได้ไม่ หรือหากกรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ซึ่งบริษัทมีสิทธิจะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการแล้วบริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้ตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง อันเป็นการใช้สิทธิของบริษัทเพื่อประโยชน์ของบริษัท แต่ผู้ถือหุ้นหาอาจจะเข้ามาดำเนินการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมสัญญาที่กรรมการบริษัทกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้นิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายทรัพย์สินตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 5 เป็นโมฆะ และให้โอนทรัพย์สินกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม หากไม่สามารถกระทำได้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงินแทน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ฟังขึ้น
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3193/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1169 บัญญัติว่า "ถ้ากรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้ ..." ตามบทบัญญัติดังกล่าว บริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้ทำให้บริษัทเสียหายชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องได้ต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษัทเฉพาะกรณีที่บริษัทไม่ฟ้องและเป็นการฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ส. ฟ้องขอให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างบริษัท ส. กับจำเลย หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ทำให้บริษัทเสียหายไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้จำเลยเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นกรรมการบริษัทจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว

          การฟ้องหรือดำเนินคดีของผู้ถือหุ้นเป็นการฟ้องคดีแทนบริษัท ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของตนและผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งจึงยังมีอำนาจฟ้อง หรือดำเนินคดี หรือบังคับคดีต่อไปได้ตราบเท่าที่ผู้ถือหุ้นคนนั้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทอยู่ หากมิได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแล้ว ย่อมมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะฟ้องคดีหรือบังคับคดีได้แต่อย่างใด
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2565
การฟ้องคดีของผู้ถือหุ้นมิใช่เป็นการตั้งฐานแห่งสิทธิในการฟ้องในฐานะส่วนตัว แต่เป็นการฟ้องคดีแทนบริษัท ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของตนและผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ การฟ้องคดีแทนบริษัทของผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีแทนผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ด้วย ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งจึงยังมีอำนาจฟ้อง หรือดำเนินคดี หรือบังคับคดีต่อไปได้ตราบเท่าที่ผู้ถือหุ้นคนนั้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทอยู่ เพราะหากมิได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแล้ว ย่อมมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะฟ้องคดีหรือบังคับคดีได้แต่อย่างใด โจทก์ทั้งหกยื่นฟ้องคดีแทนบริษัท ส. ตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง แต่ต่อมาโจทก์ทั้งหกได้ขายหุ้นส่วนของตนในบริษัทออกไปหมดแล้ว โจทก์ทั้งหกย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลหรือใช้สิทธิใด ๆ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทได้อีก และถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งหกเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษาอีกต่อไป โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจบังคับคดี

23 กันยายน 2557

หุ้นส่วนบริษัท กรรมการบริษัทมีอำนาจจัดการตามข้อบังคับบริษัทและมีผลผูกพันบริษัท

          วิธีจัดการบริษัท    
          ป.พ.พ. มาตรา 1144 บรรดาบริษัทจำกัด ให้มีกรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนด้วยกันจัดการตามข้อบังคับของบริษัท และอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้นทั้งปวง 

          การจัดการกิจการของบริษัทโดยกรรมการนั้น หากได้กระทำไปภายในกรอบข้อบังคับของบริษัท ย่อมมีผลผูกพันบริษัทให้ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก แม้กรรมการจะไม่ได้กระทำตามระเบียบขั้นตอนภายในของบริษัทนั้นก็ตาม
    
          ตัวอย่าง    
          จำเลยที่ 1 ได้ขอสินเชื่อจากธนาคารโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกัน อันเป็นการกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ 4 ตรงตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 4 ที่ได้จดทะเบียนไว้ในหนังสือรับรองบริษัท ทั้งในหนังสือรับรองบริษัทจำเลยที่ 4 ดังกล่าว ก็มิได้มีข้อความจำกัดอำนาจของกรรมการผู้มีอำนาจไว้ การลงลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันในฐานะกรรมการบริษัทจำเลยที่ 4 พร้อมประทับตราบริษัทจำเลยที่ 4 ดังกล่าว ย่อมมีผลผูกพันบริษัทจำเลยที่ 4 ส่งวนการที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อธนาคารโจทก์ โดยไม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 4 ก็เป็นเรื่องระเบียบข้อบังคับภายในของบริษัทจำเลยที่ 4 ไม่มีผลทำให้อำนาจของกรรมการในการกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ 4 ตามที่จดทะเบียนไว้แก่นายทะเบียนเปลี่ยนแปลงไป บริษัทจำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดต่อธนาคารโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6470/2544
          สรุปว่า เมื่อกรรมการบริษัทได้กระทำไปภายในอำนาจตามกรอบข้อบังคับของบริษัทตามที่ได้จดทะเบียนไว้ต่อสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ย่อมมีผลผูกพันบริษัทให้ต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องระเบียบภายในของบริษัทนั้นเป็นอย่างไร ก็ต้องไปว่ากันเองภายในบริษัท ไม่สามารถยกเอาระเบียบภายในของบริษัทนั้นมาบอกปัดความรับผิดต่อบุคคลภายนอกได้

ละเมิด ห้างสรรพสินค้าซึ่งจัดให้มีที่จอดรถแก่ลูกค้า ต้องรับผิดชอบหากรถของลูกค้าสูญหาย

          ป.พ.พ. มาตรา 420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

          ห้างสรรพสินค้าโดยทั่วๆไป ต้องจัดให้มีที่จอดรถให้แก่ลูกค้าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้า ซึ่งในการจัดให้มีที่จอดรถดังกล่าว ทางห้างจะจัดให้มีการอำนวยความสะดวกโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาคอยดูแล รวมทั้งมีการแลกบัตรเข้าออกสถานที่จอดรถ และมักจะมีปัญหาเมื่อเกิดรถสูญหาย ทางห้างมักจะอ้างว่า การจัดให้มีที่จอดรถดังกล่าว ทางห้างไม่รับผิดชอบหากรถสูญหาย แต่ปรากฏว่า ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยในกรณีนี้ไว้ ว่าห้างต้องรับผิดชอบ จะปัดความรับผิดไม่ได้

          ตัวอย่าง
          ห้างสรรพสินค้า บ. เป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ได้จัดให้มีที่จอดรถแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยมีการแจกบัตรให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาจอดรถ เมื่อจะนำรถออกจากสถานที่จอดรถก็จะมีการตรวจสอบบัตรผ่านจากพนักงานของห้าง หากไม่มีบัตรผ่านก็นำรถออกไปไม่ได้ ต่อมาเปลี่ยนไปใช้วิธีติดกล้องวงจรปิดแทน แล้วปรากฏว่ารถลูกค้าสูญหาย ห้างฯจึงปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าได้ปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบหากรถสูญหายแล้ว ลูกค้าจะมาเรียกร้องให้ห้างรับผิดชอบไม่ได้ เรื่องนี้มีการฟ้องร้องต่อสู้คดีกัน สุดท้ายไปจบที่ศาลฎีกา 
          โดยศาลได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถ ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่นๆหรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8(9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร แต่จำเลยต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่นำเข้ามาในห้าง ซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีดังกล่าวเสีย โดยใช้กล้องวงจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯของจำเลย และโจรกรรมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556)
          สรุปได้ว่า แม้ห้างฯจะอ้างว่าปิดประกาศไว้แล้วว่าไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆก็ตาม แต่ศาลก็ยังต้องให้ห้างฯรับผิดชอบ สาเหตุก็เพราะ ห้างฯต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน  มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง
 

21 กันยายน 2557

ทายาทที่ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน มีสิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ

          มาตรา 1748  "ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี 
          สิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์มรดกตามวรรคก่อน จะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้"

          โดยปกติแล้ว สิทธิของทายาทที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้น จะต้องทำภายในอายุความมรดก คือ ภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ตาม มาตรา 1754
          แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน ทายาทที่ครอบครองนั้นมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้ แม้จะเลยกำหนดอายุความมาแล้ว




          ตัวอย่าง

          ***กรณีครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปัน ทายาทที่เข้าครอบครองส่วนของตนตลอดมาแล้ว แม้ต่อมาจะมีเหตุที่ทำให้มิได้ครอบครอง ก็ยังมีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์มรดกได้
          โจทก์ เป็นบุตรนาย ส.และนาง ค. โดยบิดามารดาโจทก์มีบุตรด้วยกัน 5 คน รวมทั้งนาย ซ. ด้วย จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของนาย ซ. และมีบุตรด้วยกันรวม 5 คน คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ปัจจุบันบิดามารดาและพี่น้องของโจทก์ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว เดิมบิดามารดามีที่นาเป็นที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 95 ไร่ หลังจากบิดามารดาถึงแก่กรรมพี่น้องทุกคนให้นาย ซ.ซึ่งเป็นพี่คนโตไปขอออก ส.ค.1 แทนน้องทุกคน โดยตกลงจะแบ่งปันกันภายหลัง ต่อมาน้องคนอื่นถึงแก่กรรมไปหมด ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นของโจทก์และนาย ซ. เพียง 2 คน ซึ่งได้ร่วมกันครอบครองทำกินตลอดมา ภายหลังนาย ซ. ขอออกเป็นโฉนดเลขที่ 3630 โดยความยินยอมของโจทก์ ครั้นปี 2521 โจทก์และนาย ซ. ตกลงแบ่งที่ดินกันคนละครึ่ง โดยส่วนของโจทก์อยู่ทางทิศตะวันตกแต่ระหว่างรอการรังวัดแบ่งแยกนาย ซ.ถึงแก่กรรม หลังจากนาย ซ. ถึงแก่กรรมจำเลยทั้งหกไปยื่นคำขอรับมรดกที่ดินทั้งแปลง แต่โจทก์คัดค้าน แล้วจำเลยทั้งหกตกลงจะแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามที่เคยตกลงกับนาย ซ. โจทก์จึงถอนคำคัดค้านและยังครอบครองทำกินในที่ดินส่วนของโจทก์เรื่อยมา จนกระทั่งต้นปี 2535 ฝ่ายจำเลยห้ามโจทก์ไม่ให้เข้าทำนาโดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โจทก์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าถูกหลอกให้ถอนคำคัดค้าน เพราะจำเลยทั้งหกขอรับโอนมรดกที่ดินไปตั้งแต่ปี 2524 โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยทั้งหกไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย โจทก์จึงมาฟ้องคดีต่อศาล ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนที่เกินส่วนของนาย ซ. ทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ประมาณ 47 ไร่ 2 งาน 86 ตารางวา และให้จำเลยทั้งหกจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินส่วนดังกล่าวแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
          เรื่องนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  แม้จะปรากฏว่าภายหลังโจทก์ยื่นคำขอถอนคำค้านการขอรับมรดกที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งหกตามเอกสารหมาย จ.5 ก็ระบุเพียงว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันเองได้แล้วมิใช่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดก จึงไม่มีผลให้ที่ดินพิพาทแปรสภาพเป็นมิใช่ทรัพย์มรดกต่อไปแต่อย่างใด  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนาย ซ.ร่วมกัน มิใช่เป็นของนาย ซ.แต่ผู้เดียว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกและทรัพย์มรดกดังกล่าวยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนตลอดมา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะล่วงพ้นอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2542)

          ***กรณีเจ้ามรดกตาย แต่ทรัพย์มรดกนั้นมีบุคคลภายนอกครอบครองอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่า ถือว่าบุคคลภายนอกนั้นครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททุกคน เมื่อเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกัน ทายาทคนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งปันทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะเลยกำหนดอายุความแล้วก็ตาม

          นาง ท. ที่ดินพิพาทจากนาง จ. แม้นาง จ. ถึงแก่กรรมแล้วก็ยังเช่าติดต่อกัน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่านาง ท. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทนาง จ. คือ โจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสอง แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ตาม และการที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้านนั้น ยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบ และมีการกำหนดเวลาไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำ ขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้าน เมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปีตามมาตรา 1754 แล้ว ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2542)  
          ***กรณีที่มีการร้องขอจัดการมรดก และผู้จัดการมรดก ยังมิได้แบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาท ต้องถือว่า ผู้จัดการมรดกนั้นครอบครองทรัพย์มรดกนั้นแทนทายาททุกคน ทายาทคนใดคนหนึ่งจึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งปันทรัพย์มรดกได้ แม้จะเลยกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ตาม
          นาย อ. เจ้ามรดกมีภริยาสองคน คนแรกชื่อนาง ศ. มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นาง ว.และนาย ฬ. ต่อมานาย อ.กับนาง ศ. เลิกร้างกันไป บุตรทั้งสองเป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายเอื้อนบิดาได้รับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ต่อมานาย อ. จึงได้มาจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ระหว่างอยู่กินกับจำเลยไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ฬ. เมื่อปี 2523 นาย ฬ. ถึงแก่ความตาย ต่อมาปี 2526 นาย อ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย อ. ได้ดำเนินการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทไปแล้วหลายแปลง มีทั้งที่โอนให้แก่ลูกค้าที่ชำระราคาหมดแล้ว และโอนแบ่งมรดกให้แก่ทายาทของนายเอื้อนบางคน รวมทั้งที่โอนให้แก่ตนเองเป็นการส่วนตัวในฐานะที่เป็นภริยาจำนวน 28 แปลง คงมีที่ดินมรดกของนายเอื้อนเหลืออยู่เพียง 3 แปลงเท่านั้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกทรัพย์มรดก มิใช่ฟ้องให้จำเลยรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้กระทำไปในฐานะผู้จัดการมรดก จึงเป็นคดีมรดกไม่ใช่คดีจัดการมรดกดังที่ศาลล่างวินิจฉัย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ายังมีที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกอีกจำนวน 3 แปลง ที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกยังไม่ได้จัดการแบ่งให้แก่ทายาท แสดงว่าการจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอยู่ระหว่างจัดการ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกจึงเป็นผู้แทนของทายาททั้งปวง โดยนำลักษณะตัวการตัวแทนมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1720 การที่จำเลยครอบครองทรัพย์มรดกในระหว่างจัดการมรดกถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทตามมาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1368 โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทจึงชอบที่จะฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจาก จำเลยได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี ทั้งนี้ตามมาตรา 1748 คดีโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2544)         
          ก. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ย. โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ก. เมื่อ ก. ถึงแก่ความตายก่อน ย. โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่ ก. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1639 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 จึงเป็นทายาทของ ย. ส่วนโจทก์ที่ 4 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นทายาทของ ย. เช่นกัน เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้ง ส. เป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ส. จึงเป็นผู้แทนตามกฎหมายของทายาท มีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามกฎหมาย มีผลให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของ ย. ไม่จำต้องฟ้องร้องภายในอายุความมรดก 1 ปี เพราะอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 และถือได้ว่า ส. ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งปันแทนทายาทของ ย. ทุกคน แม้ต่อมา ส. ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ย. ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของ ย. ก็เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่สิ้นสุดลงที่ดินพิพาทยังคงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของ ย. และยังคงอยู่ในระหว่างการจัดการแบ่งทรัพย์มรดก ถือได้ว่าผู้จัดการมรดกครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นทุกคน และเมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ส. ก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่นทั้งหมดโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งที่พิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7458/2553)

          ***การครอบครองทรัพย์มรดกของทายาท อาจโดยให้ผู้อื่นครอบครองไว้แทนก็ใช้ได้ 
          เมื่อ นาง ล.  ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทได้ตกลงแบ่งที่ดินให้แก่ทายาทอันได้แก่นาง บ. จำเลยที่ 1 นาง ก. และนาง ว. สำหรับที่ดินมรดกส่วนของโจทก์นั้นโจทก์ให้นาง บ. ครอบครองไว้แทน
          มีปัญหาประเด็นแรกว่า การแบ่งปันมรดกรายนี้เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์และทายาทอื่นซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกได้ตกลงแบ่งปันมรดกกันแล้ว แม้มรดกส่วนที่โจทก์จะได้รับโจทก์ยังไม่เข้าครอบครองในฐานะเจ้าของ แต่โจทก์ได้ให้นาง บ. ครอบครองแทน ซึ่งเปรียบเสมือนโจทก์ได้รับส่วนแบ่งและได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยตนเองแล้ว การแบ่งปันมรดกจึงเสร็จสิ้นแล้ว
          ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่า โจทก์และนาง บ.มารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท โดยนาง บ.ครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไว้แทน การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาหลังจากนาง บ.ถึงแก่ความตาย จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วย โจทก์จึงยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทอยู่ครึ่งหนึ่ง และมีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาทตามฟ้อง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2542)