19 กันยายน 2557

ทำสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่ออำพรางสัญญากู้ จะต้องบังคับตามสัญญากู้อันเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้

 หลักกฎหมายเรื่องนิติกรรมอำพราง มีบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.  มาตรา 155 วรรคสอง คือ ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ  

 กล่าวคือ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้  และเมื่อการแสดงเจตนาลวงเป็นโมฆะ ก็ต้องมาดูว่า การแสดงเจตนาลวงนั้น ทำขึ้นโดยมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร ถ้ารู้ว่ามีเจตนาแท้จริงอย่างไรแล้ว ก็นำกฎหมายที่คู่กรณีมีเจตนาที่แท้จริงมาใช้บังคับ 

 เช่น ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน เพื่ออำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน ก็ต้องนำกฎหมายในเรื่องการกู้ยืมเงินมาใช้บังคับ เป็นต้น

 ตัวอย่าง
 ข้อเท็จจริงมีว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ารวมสองแปลง ซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1340 ตำบลหนองกราด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อนาย ต.เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1341 ตำบลหนองกราด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528 นาย ต.และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ ต่อมาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 32763 และ 32764 มีชื่อนาย ต.กับจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ 
          แต่มีปัญหาว่า สัญญาซื้อขายตามฟ้องโจทก์เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้หรือไม่
          เรื่องนี้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยไว้ว่า ที่โจทก์นำสืบอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเนื้อที่รวม 50 ไร่เศษ จากนาย ต.และจำเลยที่ 1 ในราคา 48,000 บาท นั้น คำนวณราคาได้ไร่ละประมาณ 900 บาท เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ นางสาว น. นางสาว ท. และนาง ย. เบิกความเป็นพยานโจทก์ ในทำนองเดียวกันว่า ปี 2528 พยานทั้งสามมีที่ดินอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ซึ่งมีราคาไร่ละ 2,000 ถึง 3,000 บาท จะเห็นได้ว่าราคาซื้อขายที่ดินพิพาทตามท้องตลาดสูงกว่าราคาที่โจทก์อ้างว่านาย ต.และจำเลยที่ 1 ขายให้แก่โจทก์มาก คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่า โจทก์ให้นาย ต.และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามฟ้องกับโจทก์ ซึ่งเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ โดยให้นาย ต.ลงลายมือชื่อในฉบับที่ระบุจำนวนเงินต้นที่กู้ไปจากโจทก์ 30,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฉบับที่ระบุจำนวนเงินดอกเบี้ย 18,000 บาท และให้โจทก์เข้าทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายตลอดมา เมื่อคำนวณเงินดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนจากต้นเงิน 30,000 บาท แล้ว ในเวลา 1 ปี ก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นเงิน 18,000 บาท พอดี หากนาย ต.และจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ในปี 2528 จริง โจทก์น่าจะดำเนินการให้นาย ต.และจำเลยที่ 1 จัดการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของโจทก์นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกัน เนื่องจากโจทก์ทราบดีว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) แต่โจทก์ก็ไม่ดำเนินการเช่นนั้น จนกระทั่งปี 2532 ทางราชการเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นโฉนดที่ดิน โจทก์ก็มิได้ให้ทายาทของนาย ต.และจำเลยที่ 1 ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เพียงแต่โจทก์รับโฉนดที่ดินพิพาทแปลงที่มีชื่อนาย ต.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์มาเก็บรักษาไว้เท่านั้น จนกระทั่งปี 2536 และปี 2541 มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยที่ 2 และโอนมาเป็นของจำเลยที่ 3 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแต่อย่างใด การที่โจทก์ปล่อยปละละเลยให้เวลาล่วงเลยมานานเกือบ 20 ปี นับแต่ที่อ้างว่าซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาจากนาย ต.และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติที่ไม่ดำเนินการปกป้องสิทธิของตนเองเช่นนั้น ถือได้ว่าเป็นข้อพิรุธของโจทก์อย่างยิ่ง ส่อแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ทราบดีว่าตนมีสิทธิเพียงเข้าทำกินในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่างดอกเบี้ยเท่านั้นเอง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน นิติกรรมการซื้อขายจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคแรก และต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง     
          และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อนาย ต.และจำเลยที่ 1 เป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาซื้อขายก็ตาม ย่อมถือได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างนาย ต.กับโจทก์ จึงมีผลบังคับกันได้
          เมื่อคดีรับฟังได้ว่านาย ต.และจำเลยที่ 1 มิได้ขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ แต่นาย ต.และจำเลยที่ 1 กู้เงินไปจากโจทก์ 30,000 บาท แล้วให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นการทำกินต่างดอกเบี้ย นาย ต.และจำเลยที่ 1 มิได้สละการครอบครองให้แก่โจทก์แต่อย่างใด แม้ว่าโจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองหรือได้กรรมสิทธิ์ เพราะยังถือได้ว่าโจทก์ครอบครองแทนนาย ต.หรือทายาทของนาย ต.และจำเลยที่ 1 อยู่ตลอดไป เมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ต.ไม่ประสงค์ให้โจทก์และบริวารอยู่ในที่ดินพิพาทของนาย ต.อีกต่อไป โจทก์และบริวารจึงต้องออกไปจากที่ดินของนายต.นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ต.หรือทายาทของนาย ต.ชำระเงินกู้ 30,000 บาท คืนแก่โจทก์ 
สรุปคือ เรื่องนี้ ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจากนาย ต.และจำเลยที่ 1 เพื่ออำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน จึงต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงิน โดยถือว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างนาย ต.กับโจทก์ จึงมีผลบังคับกันได้

เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่  2574/2556
 



18 กันยายน 2557

ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แม้อยู่กินฉันสามีภริยา ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินของอีกฝ่ายที่ตนครอบครองนั้นเป็นของตน ก็มีความผิด


          ประมวลกฎหมายอาญา 
          มาตรา 352  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก 

          - ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และ
          - ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม

          ตัวอย่าง เช่น นายโจ สามีชาวต่างชาติ มอบเงินให้นางจู ชาวไทยไว้ใช้จ่ายร่วมกันในครอบครัว การที่นางจูอ้างว่า นายโจเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ นางจูจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของนางจูเพียงคนเดียว ถือได้ว่านางจูครอบครองเงินที่นายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เมื่อนายโจบอกให้นางจูคืนเงินแต่นางจูไม่ยอมคืนให้ การกระทำของนางจูจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งนายโจเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปเป็นของตนโดยทุจริต นางจูจึงมีความผิดฐานยักยอก

         กรณีนี้มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2550 โจทก์ร่วมซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รู้จักจำเลยและอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาโจทก์ร่วมซื้อที่ดินที่อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมาและปลูกสร้างบ้านอยู่กับจำเลย ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 โจทก์ร่วมต้องเดินทางกลับประเทศอังกฤษ ต่อมาจำเลยได้รับเงินตามฟ้องจากโจทก์ร่วม และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550 จำเลยนำเงินดังกล่าวฝากธนาคารในนามของจำเลย เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยไม่ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม และไม่กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ร่วมอีก วันที่ 27 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้ติดตามจำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2551 โจทก์ร่วมจึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฐานยักยอกทรัพย์เงินจำนวนดังกล่าวของโจทก์ร่วมไปเป็นคดีนี้
         ข้อเท็จจริงมีว่า หลังจากโจทก์ร่วมอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้ว โจทก์ร่วมได้ออกเงินซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ต่อมาหลังจากโจทก์ร่วมเดินทางจากประเทศอังกฤษกลับมาประเทศไทย เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมได้มอบเงิน 400,000 บาท กับเงินที่เหลือจากการตกแต่งบ้านอีก 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 450,000 บาท ให้จำเลยนำไปฝากธนาคารในชื่อบัญชีโจทก์ร่วมร่วมกับจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกัน แต่จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ จำเลยจึงเปิดบัญชีและฝากเงินในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียว ต่อมาวันที่ 19 ธันวาคม 2550 โจทก์ร่วมทราบว่าโจทก์ร่วมสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้เอง จึงเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของโจทก์ร่วม หลังจากนั้นโจทก์ร่วมบอกจำเลยให้นำเงิน 450,000 บาท ซึ่งอยู่ในบัญชีของจำเลยนำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม แต่จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาอ้างว่าจะไปดำเนินการให้ในวันรุ่งขึ้น แต่สุดท้ายจำเลยไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วม หลังจากนั้นจำเลยได้หนีออกจากบ้านไป ไม่กลับมาที่บ้านอีก โจทก์ร่วมโทรศัพท์บอกให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม แต่จำเลยปิดโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย โจทก์ร่วมจึงไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีก 
          ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไว้ว่า การที่โจทก์ร่วมมอบเงินเข้าบัญชีของจำเลยเนื่องจากเข้าใจว่าชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ประสงค์ที่จะมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยทั้งหมดเพียงคนเดียว โจทก์ร่วมยังประสงค์ที่จะนำเงินฝากมาใช้จ่ายร่วมกันในส่วนของโจทก์ร่วมด้วย แต่เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเปิดบัญชีได้ ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ดังนั้น การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเพียงคนเดียวจึงถือได้ว่าจำเลยครอบครองเงินตามฟ้องที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ว่าหลังจากโจทก์ร่วมบอกให้จำเลยคืนเงินและนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมแล้ว จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่ยอมโอนเงินให้แก่โจทก์ร่วมและหาเหตุหนีออกจากบ้านไป ไม่ยอมกลับมาอยู่กับโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมโทรศัพท์ให้จำเลยคืนเงิน จำเลยก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ไม่ยอมพูดคุยด้วย อันส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเอาเงินดังกล่าวเป็นของจำเลยคนเดียวทั้งหมด ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังเกิดเหตุ 3 ถึง 4 เดือน จำเลยก็ได้แต่งงานใหม่กับสามีคนไทย การที่จำเลยอยู่กินกับโจทก์ร่วมก็เพียงเพื่อต้องการได้ผลประโยชน์จากโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมขอให้จำเลยโอนเงินที่ฝากไว้ในชื่อจำเลยเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม จำเลยก็บ่ายเบี่ยงหาทางเลิกกับโจทก์ร่วมโดยหนีออกจากบ้านไม่มาอยู่ กับโจทก์ร่วมเพื่อไม่ต้องการคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อเงินในบัญชีเงินฝากในชื่อของจำเลยเป็นเงินของโจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกัน จำเลยได้ถอนเงินของโจทก์ร่วมไปและไม่ยอมถอนเงินคืนให้แก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเอาเงินซึ่งโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้อง หาใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22267/2555)
          เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่กินฉันสามีภริยากัน แต่ถ้ามีเจตนาทุจริต เบียดบังทรัพย์สินที่อีกฝ่่ายเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ก็เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกได้ 

          ความผิดฐานยักยอก เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ ดังนั้น จึงต้องมีการร้องทุกข์ก่อน จึงจะทำให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวน และการร้องทุกข์หรือกรณีไม่ร้องทุกข์แต่เลือกจะฟ้องคดีเองนั้น  ต้องกระทำภายในอายุความสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 

 

17 กันยายน 2557

สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หากผู้จะซื้อผิดสัญญา แต่ผู้จะขายยังต้องการบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป ผู้จะขายไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำ

          โดยปกติแล้ว กรณีทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หากผู้จะซื้อผิดสัญญา ผู้จะขายย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำนั้นได้ แต่ถ้าผู้จะขายยังต้องการบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป ผู้จะขายก็ไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำนั้น รวมทั้งไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ
          ตัวอย่าง
          นายเอ ทำสัญญาจะซื้อที่ดินหนึ่งแปลงจาก นายบี ราคา 6 แสนบาท วางมัดจำไว้ 3 หมื่นบาท และนัดไปจดทะเบียนการซื้อขายกัน ณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ถ้านายเอ ผิดสัญญาไม่ซื้อหรือไม่ไปรับโอนที่ดินภายในกำหนด ยินยอมให้นายบึริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับได้อีก 3 หมื่นบาท หลังจากทำสัญญาแล้ว นายเอ เห็นว่าที่ดินที่จะซื้อตามสัญญามีราคาสูงเกินไป จึงไม่ยอมซื้อที่ดินตามสัญญา โดยขอให้นายบีริบเงินมัดจำและเรียกเบี้ยปรับ แต่นายบียังคงต้องการขายที่ดินตามสัญญา จึงฟ้องบังคับนายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายรวมทั้งริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา 
         ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เมื่อนายเอไม่ซื้อที่ดินตามสัญญาอันเป็นการละเลยไม่ชำระหนี้ นายบีเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอปฏิบัติตามสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213  แต่เมื่อนายบีเจ้าหนี้บังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญา นายเอเจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิริบมัดจำ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(2) เพราะเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ต้องส่งมัดจำคืนหรือหักมัดจำเป็นการชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378(1) ส่วนถ้าเจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้อย่างไร ก็ย่อมเรียกเอาได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 215
         ส่วนที่สัญญาระบุให้เรียกเบี้ยปรับ 3 หมื่นบาท กรณีนายเอผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินนั้น เป็นการที่ลูกหนี้ให้สัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380 เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้หรือเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิทธิของนายบี ที่จะเลือก ดังนั้น เมื่อนายบีเลือกที่จะเรียกให้นายเอซื้อที่ดินโดยการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อไป อันเป็นการเลือกในทางบังคับให้นายเอลูกหนี้ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 สิทธิเรียกเบี้ยปรับย่อมหมดไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 380 
         สรุปแล้ว นายบีมีสิทธิฟ้องบังคับให้นายเอซื้อที่ดินตามสัญญาและเรียกค่าเสียหาย แต่ไม่มีสิทธิริบมัดจำและเรียกเบี้ยปรับด้วย

         (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2506, 556/2511)