16 กันยายน 2557

การเอาแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้คันอื่นมาติดรถอีกคันหนึ่ง ไม่ผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เเอกสารปลอม



มาตรา 264 วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดฐานปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก มีองค์ประกอบดังนี้
1. ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  หรือ
   เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง  หรือ
   ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน (พฤติการณ์ประกอบการกระทำ)
3. กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  (เจตนาพิเศษ)
4. เจตนา 

แต่ เอาแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้คันอื่นมาติด ไม่ผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เเอกสารปลอม
ตัวอย่าง การที่จำเลยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข น.0311พังงา ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของ ส. นำไปใช้ติดกับรถยนต์จำเลยซึ่งเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่ง แม้จะโดยมีเจตนาแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มี หมายเลขทะเบียน น.0311 พังงา ก็ตามเมื่อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้ จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์คันอื่น จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารราชการปลอม (คำพิพากษาฎีกาที่ 1141/2523)  
สาเหตุที่ไม่ผิดปลอมเอกสารก็เพราะว่า แผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม แม้เอามาใช้กับรถคันอื่นๆ ก็ไม่ผิดปลอมเอกสาร

กรณีผิด ปลอมเอกสาร หรือใช้เอกสารปลอม
ตัวอย่าง  จำเลยที่ 1 ได้นำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมปิดทับแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้จริงที่ด้านหน้าและด้านท้ายของรถเพื่อใช้รถยนต์เดินทางไปที่เมืองพัทยา ป้องกันมิให้ผู้ที่พบเห็นทราบหมายเลขทะเบียนรถที่แท้จริงหากเกิดอุบัติเหตุ ในระหว่างการเดินทาง จึงเป็นการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมอย่างเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นรถยนต์ตามแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่มีการทำปลอมขึ้น และที่เกิดเหตุซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เป็นสถานที่เปิดเผยในทางเดินรถสาธารณะ แม้จำเลยที่ 1 ยังมิได้ใช้รถยนต์เดินทางเคลื่อนที่จากจุดเกิดเหตุที่มีการลงมือกระทำความผิด ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานใช้เอกสารราชการปลอม จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (คำพิพากษาฎีกาที่ 15446/2555)
กรณีนี้ผิด เพราะนำป้ายทะเบียนปลอมมาปิดทับป้ายจริง 

14 กันยายน 2557

ข้อตกลงท้ายสัญญาจำนองว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นจนกว่าจะครบ ถ้าในกรณีที่หนี้ขาดอายุความ จะบังคับทรัพย์สินอื่นได้หรือไม่

          สัญญาจำนองมีข้อตกลงว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นจนกว่าจะครบนั้น กรณีที่หนี้ที่จำนองเป็นประกันนั้นขาดอายุความแล้ว ถ้าผู้รับจำนองฟ้องบังคับจำนอง ได้เงินไม่พอชำระหนี้ จะบังคับจากทรัพย์สินอื่นของผู้จำนองได้หรือไม่ 
          เรื่องนี้ได้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินเอาไว้ครับ ดังนี้
          ธนาคารเป็นโจทก์ ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 นางเหลืองทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 490,000 บาท เพื่อไถ่ถอนห้องชุดตกลงยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งโจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตรา ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้น โดยโจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้นางเหลืองทราบล่วงหน้า ทั้งนี้นางเหลืองจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 7,550 บาท ภายในทุกวันที่ทำสัญญากู้เงิน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ทำสัญญากู้เงินเป็นต้นไป โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์นางเหลืองได้นำห้องชุดเลขที่ 181/151 จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 490,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ นางเหลืองยอมรับผิดชำระเงินส่วนที่ขาดจนครบถ้วน นอกจากนี้นางเหลืองยังสัญญาจะทำประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และนางเหลืองเป็นผู้ออกเงินค่าเบี้ยประกันภัยตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จนครบถ้วน นับแต่นางเหลืองได้กู้เงินไปจากโจทก์ได้ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ค้างชำระหนี้ติดต่อกันหลายงวดโดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 จำนวน 23,000 บาท ต่อมานางเหลืองได้ถึงแก่ความตายบรรดาทรัพย์สินตลอดจนสิทธิและหน้าที่ในทรัพย์สินจึงตกแก่ นายแดง จำเลย ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม ก่อนฟ้องคดีธนาคารโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้นายแดงในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลือง ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแต่นายแดงเพิกเฉย นับถึงฟ้องมีหนี้ที่นายแดง จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงิน 455,591.43 บาท ดอกเบี้ย 772,311.68 บาท ค่าเบี้ยประกันภัย 5,541,17 บาท รวมเป็นเงิน 1,233,444.28 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,233,444.28 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 455,591.43 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยจำนวน 700.89 บาท ทุกวันที่ 1 เมษายน ของทุกสามปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ในกองมรดกของนางเหลืองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
          นายแดงต่อสู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้ว
          เรื่องนี้มีการต่อสู้ขึ้นมาถึงชั้นฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลืองให้รับผิดในมูลหนี้เงินกู้ และบังคับจำนอง โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่นางเหลืองถึงแก่ความตายเกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ในมูลหนี้เงินกู้จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสี่ แต่โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของนางเหลือง หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 เมื่อปรากฏว่านางเหลืองลูกหนี้ถึงแก่ความตาย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเหลืองชำระหนี้จาก ทรัพย์สินในกองมรดกของนางเหลืองได้ แม้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม และมาตรา 193/27 แต่คงบังคับได้เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น หาอาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางเหลืองได้ด้วยไม่ แม้สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 จะมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของ ลูกหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ก็ตาม เพราะเมื่อหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว ทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางเหลืองย่อมไม่ตกอยู่ในความรับผิดทางแพ่งอีก ต่อไป"
          สรุป คือ เมื่อหนี้ที่จำนองขาดอายุความแล้ว แม้มีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ ก็ตาม ลูกหนี้ก็ไม่ต้องรับผิดตามข้อตกลงนั้น เจ้าหนี้คงบังคับชำระหนี้ได้เฉพาะจากทรัพย์สินซึ่งเป็นหลักประกันที่จำนองไว้เท่านั้น (เทียบเคียง คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3705/2551)

12 กันยายน 2557

สั่งจ่ายเช็คไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ ไม่ผิดอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4

          เดิม พ. จำเลย เป็นพนักงานขายรถยนต์ของห้างสยาม เมื่อปี 2546 โจทก์และ พ. จำเลยเข้าหุ้นกันประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสอง โดยโจทก์ลงทุนด้วยเงินสด พ. จำเลยลงทุนด้วยแรงงานทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อซื้อขายรถยนต์กับลูกค้าและตกลงแบ่งกำไรให้จำเลยร้อยละ 40 จนถึงกลางปี 2547 ก็เลิกการเป็นหุ้นส่วนกัน แต่ พ.จำเลยยังคงประกอบกิจการต่อและกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปลงทุนหลายครั้ง เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พ.จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์รวม 5 ครั้ง ซึ่งในการกู้ยืมเงินแต่ละครั้งจำเลยได้ออกเช็คธนาคารมอบให้ไว้แก่โจทก์ รวมแล้วมี 6 ฉบับ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2548 จำนวนเงิน 340,000 บาท ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 20 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 325,000 บาท และฉบับที่ 6 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,015,000 บาท ครั้นเช็คทั้งหกฉบับถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ โจทก์ก็นำคดีมาฟ้องศาล เรื่องนี้ศาลก็ยกฟ้องอีกเช่นกัน ครับ
          เหตุผลก็คือ ตามหนังสือสัญญาเงินกู้และหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แม้มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงและจะชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท แต่ในการค้นหาเจตนาที่แท้จริงจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอื่น ๆ ประกอบเข้าด้วย โดยเฉพาะพฤติการณ์แห่งการกระทำทั้งหลายในขณะที่มีการออกเช็ค หาใช่ต้องถือตามข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรโดยฝ่ายเดียว ซึ่งในข้อนี้เดิมได้ความว่า จำเลยเป็นเพียงพนักงานขายรถยนต์ แต่เหตุที่จำเลยมาร่วมกับโจทก์ประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสองได้ก็เพราะมีโจทก์เป็นคนออกเงินทุนให้ และที่จำเลยสามารถลงทุนได้ด้วยแรงงานเพียงอย่างเดียว แสดงว่า โจทก์เองทราบเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้นว่า จำเลยไม่มีหนทางใดที่จะหาเงินมาลงทุนด้วยได้เลย เพราะไม่เช่นนั้นโจทก์คงไม่ยอมให้จำเลยเอาเปรียบที่ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินลงทุนหากกิจการประสบภาวะขาดทุน
          ดังนี้ การที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวนมากและหลายครั้งในระยะเวลาต่อเนื่องใกล้เคียงกัน โดยที่จำเลยยังมิได้ชำระหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นหรือแม้บางส่วน เชื่อว่าโจทก์ทราบดีว่าจำเลยจะยังคงไม่สามารถที่จะหาเงินมาชำระหนี้ซึ่งมี จำนวนมากให้แก่โจทก์ในระยะเวลาอันใกล้ได้เลย ถึงแม้เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยสมัครใจของจำเลยเอง มิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญของโจทก์และจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์และออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์จริง ก็เป็นการยอมรับการเป็นหนี้ในทางแพ่งเท่านั้น หาใช่เป็นการยอมรับว่าจำเลยออกเช็คเพื่อการชำระหนี้เงินกู้ยืมด้วยไม่

          ดังนี้ เมื่อจำเลยไปกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์ก็จะให้จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกัน และที่เช็คฉบับที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีการแก้ไขข้อความวันที่และจำนวนเงิน เป็นการนำเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ไว้เดิมมาแก้ไขด้วยเหตุที่จำเลยกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ซึ่งโจทก์เพียงยึดถือเช็คดังกล่าวไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ยืม ยังเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกับการออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ทั้งการที่โจทก์มิได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินในทันทีที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน แต่นำเช็คหลายฉบับไปเรียกเก็บในคราวเดียวกัน ยังเป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นเพราะโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรเช็คก็ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนดนั่นเอง จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์ล่วงหน้า โจทก์ทราบดีแล้วว่าจำเลยไม่มีทางที่จะชำระเงินตามเช็คได้ แต่ที่โจทก์ยอมรับเช็คไว้ก็เพื่อเป็นประกันหนี้และอาจนำมาฟ้องร้องบีบบังคับจำเลยเป็นคดีอาญาได้อีกทางหนึ่งเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เป็นการออกเช็คเพื่อประกันหนี้ ไม่ใช่ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ครับ

เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2556