23 พฤษภาคม 2558

หมิ่นประมาท : การทะเลาะวิวาท ด่าทอกัน แม้มีข้อความไม่สุภาพอยู่บ้าง หากไม่เป็นถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงขนาดความเชื่อถือไว้วางใจหรือความคดโกงชั่วร้าย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

      การทะเลาะวิวาท ด่าทอกัน แม้มีข้อความไม่สุภาพอยู่บ้าง หากไม่เป็นถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงขนาดความเชื่อถือไว้วางใจ หรือความคดโกงชั่วร้าย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังแต่ประการใด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
      คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2555 - จำเลยพูดทวงเงินที่ ถ. ค้างชำระแล้วจำเลยกับ ถ. มีปากเสียงด่าว่ากัน และจำเลยได้ด่าว่า โคตรของมึงยืมเงินกูไปเป็นประจำ ไอ้หรัด อีต้อย ก็ไปยืมเงินกู เหตุเกิดขณะ ถ. กับจำเลยต่างทะเลาะ โต้เถียงกันต่างอยู่ในอารมณ์โกรธ ข้อความที่ว่าไอ้หรัดซึ่งหมายถึงผู้เสียหายเป็นเพียงคำเรียกหาที่ไม่สุภาพ ส่วนที่ว่าผู้เสียหายเคยยืมเงินจำเลยก็กล่าวตามข้อเท็จจริงซึ่งผู้เสียหาย รับว่าเคยกู้ยืมเงินจากจำเลยจริง ทั้งการกู้ยืมเงินกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีข้อความกล่าวถึงกับว่าผู้เสียหายคดโกง ดังนี้ ตามความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆ ไปจึงไม่เป็นถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงขนาดความเชื่อถือไว้วางใจ หรือความคดโกงชั่วร้าย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังแต่ประการใด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

หมิ่นประมาท : การแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

          บุตรเข้าใจว่าผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับบิดา จึงปรึกษาหารือพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้าน เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ดังนี้ เป็นกรณีที่ลูกบ้านอยู่ในความปกครองของผู้ใหญ่บ้าน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นการปรับทุกข์ เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านหาทางช่วยแก้ไขปัญหาให้ครอบครัวของตน เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์  แต่ถ้ามีคนนอกเข้ามานั่งฟังอยู่ด้วย จะมีความผิดฐานหมิ่นประมาททันที
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2554 - ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่นาย ส.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับการร้องขอจากนาย ม.ให้ไปช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างบุตรของนาย ม. นาย ส.จึงไปที่บ้านของนาย ค. บุตรของนาย ม.คนหนึ่ง พบนาย ค.และบุตรของนาย ม.อีกหลายคน บรรดาบุตรของนาย ม.รวมทั้งจำเลยด้วยต่างเข้าใจว่าโจทก์ร่วมมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนาย ม.จึงปรึกษาหารือหรือพูดคุยกับนาย ส.เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว โดยจำเลยกับพวกเกรงว่านาย ม.จะถูกโจทก์ร่วมหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปหมด จะทำให้จำเลยกับพวกเดือดร้อน ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ถือได้ว่า ในฐานะที่จำเลยกับพวกเป็นลูกบ้านอยู่ในความปกครองของนาย ส. การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเป็นการปรับทุกข์กับนาย ส. เพื่อให้นาย ส.หาทางช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ครอบครัวของนาย ม. ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จำเลยมีสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม
          แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นาง ป.เข้ามาร่วมรับฟังด้วยแล้ว การที่จำเลยกล่าวต่อหน้านาง ป.ว่าโจทก์ร่วมเป็นชู้กับนาย ม.และหลอกเอาเงินของนาย ม.นั้น เห็นว่า ที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนาย ม.บิดาของจำเลย ไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะกล่าวประจานโจทก์ร่วมต่อหน้านาง ป.ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทเช่นว่านั้น เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนามุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์ร่วมได้รับความอับอาย และเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ร่วม การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง

พยานที่รับรองพินัยกรรม ต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น(ต่อหน้า) เป็นสำคัญ

          ลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรม ต่อมาภายหลังพยานในพินัยกรรมได้สอบถามผู้ทำพินัยกรรมจึงทราบว่าได้ทำพินัยกรรมไว้จริง ไม่ถือว่าเป็นพยานในพินัยกรรมโดยชอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656
          มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
          บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคแรก หมายความว่า ผู้ทำพินัยกรรมแบบที่เป็นหนังสือนั้นต้องมีพยานอย่างน้อยสองคน และพยานจะต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น เป็นสำคัญ ทั้งบทบัญญัติกฎหมายที่ว่าผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานทั้งสองคน (และพยานทั้งสองจะต้องลงลายมือชื่อรับรองในขณะนั้น) เป็นบทบัญญัติที่มีความหมายชัดเจนจนกระทั่งไม่อาจจะตีความหรือแปลความหมายไป เป็นอย่างอื่นได้ ดังนั้น การที่พยานไม่ว่าคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนในพินัยกรรมลงลายมือชื่อใน พินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรมแต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ก็ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายมาตราดังกล่าวและทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 ไปในทันที แม้ต่อมาภายหลังพยานในพินัยกรรมจะมาสอบถามผู้ทำพินัยกรรมและได้ความว่าผู้ทำ พินัยกรรมมีความประสงค์จะทำพินัยกรรมจริงก็ตาม ก็ไม่มีผลทำให้การลงลายมือชื่อในพินัยกรรมที่ไม่ชอบหรือพินัยกรรมที่เป็น โมฆะไปแล้วกลับกลายเป็นการลงลายมือชื่อที่ชอบทำให้พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์ชอบ ด้วยกฎหมายไปได้

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11034/2553  พยานในพินัยกรรมลงลายมือชื่อในพินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรม แต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคแรก และทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะตามมาตรา 1705 ไปในทันที แม้ต่อมาภายหลังพยานในพินัยกรรมจะมาสอบถามผู้ทำพินัยกรรมและได้ความว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความประสงค์จะทำพินัยกรรมจริง ก็ไม่มีผลทำให้การลงลายมือชื่อในพินัยกรรมที่ไม่ชอบหรือพินัยกรรมที่เป็นโมฆะไปแล้วกลับกลายเป็นการลงลายมือชื่อที่ชอบทำให้พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายไปได้

26 ตุลาคม 2557

กฎหมายว่าด้วยลักษณะบุคคล

          บุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
          บุคคลแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
          1. บุคคลธรรมดา
          2. นิติบุคคล

          บุคคลธรรมดา

          สภาพบุคคล
          สภาพบุคคล ย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย (มาตรา 15 วรรคหนึ่ง)
          การเริ่มสภาพบุคคล 
          ต้องประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ
          1. จะต้องคลอดออกมาแล้ว และ
          2. เมื่อขณะที่คลอดออกมานั้นจะต้องมีชีวิต คือ อยู่รอดเป็นทารก
          การคลอดแล้วมีชีวิตรอดเป็นทารกนั้น แม้มีชีวิตอยู่สักวินาทีก็ถือว่าเป็นบุคคลแล้ว ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย แต่ถ้าในขณะคลอดออกมาไม่มีชีวิตแล้ว ก็ถือว่าไมมีสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย เมื่อไม่มีสภาพบุคคลแล้ว ก็ไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแต่ประการใด 
          อย่างไรก็ตามกฎหมายได้ยอมรับสิทธิของทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยในมาตรา 15 วรรคสอง "ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก" เช่น กรณีบิดาตายในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา ทารกนั้นย่อมมีสิทธิในมรดกของบิดา หากภายหลังนั้นทารกได้คลอดออกมาแล้วมีชีวิตรอดเป็นทารก สิทธิในการรับมรดกนี้ย่อมย้อนไปถึงเวลาที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา
          การสิ้นสภาพบุคคล
          สภาพบุคคลของบุคคลธรรมดา ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย ตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ซึ่งการตายนี้ เป็นการตายตามปกติธรรมดา และรวมถึงการถึงแก่ความตายโดยผลของกฎหมายด้วย เช่น กรณีผู้ใดถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ก็เท่ากับว่าถึงแก่ความตาย
          หลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญ
          1. กรณีธรรมดา คือ ถ้าผู้ใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี
          2. กรณีพิเศษ คือ ระยะเวลาตาม 1. ให้ลดลงเหลือ 2 ปี
               (1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
               (2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
               (3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
          ซึ่งเมื่อมีกรณีดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการ ร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ (มาตรา 61)
          ผลเมื่อศาลสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญ คือ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา 61 (มาตรา 62) คือ เมื่อครบห้าปี กรณีธรรมดา และครบสองปี ในกรณีพิเศษ
          ล. ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญมีผลเท่ากับ ล.ถึงแก่ความตาย และเมื่อ ล.เป็นสมาชิกของจำเลย ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว โดยโจทก์ซึ่งเป็นภริยา ล. เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลยว่า หากไร้ซึ่งศพที่จะต้องจัดการแล้วจำเลยไม่อาจจ่ายเงินค่าจัดการศพได้นั้น รับฟังไม่ได้ ดังนั้น การเป็นคนสาบสูญตามคำสั่งศาลเป็นเหตุให้จำเลยต้องจ่ายเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่  5513/2552)

          ความสามารถของบุคคล
          เมื่อบุคคลพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะแล้ว บุคคลนั้นย่อมมีความสามารถเต็มที่จะทำนิติกรรมใดๆได้โดยลำพังตนเอง ซึ่งการที่บุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้นั้น แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ
          (1) บุคคลพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะ เมื่อมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ (มาตรา 19 )
          (2) ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448 (มาตรา 20) คือ การสมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ หรือกรณีที่ศาลอนุญาตให้ทำการสมรส

          บุคคลที่หย่อนความสามารถ ได้แก่
          (1) ผู้เยาว์ จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้น จะเป็นโมฆียะ (มาตรา 21) เว้นแต่ กรณีนิติกรรมบางอย่างที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้เยาว์ทำได้เองโดยลำพัง เช่น ผู้เยาว์สามารถทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ (มาตรา 25) เป็นต้น
          (2) บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ไม่สามารถกระทำการใดๆได้เลย ถ้าทำลงไปก็เป็นโมฆียะ (มาตรา 29)
          (3) บุคคลวิกลจริต การใดๆที่บุคคลวิกลจริตทำลงนั้นจะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ ได้กระทำในขณะที่จริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำวิกลจริต (มาตรา 30)
          (4) บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ปกติแล้วก็ยังสามารถกระทำการต่างๆได้โดยตนเอง เว้นแต่ กรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 จะกระทำโดยลำพังไม่ได้ ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน หากฝ่าฝืนการนั้นๆก็ตกเป็นโมฆียะ (มาตรา 34)




30 กันยายน 2557

การทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์บางประเภท ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต ตามมาตรา 1574

          ป.พ.พ.มาตรา 1574  นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
          (1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
          (2) กระทำให้สิ้นสุดลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
          (3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
          (4) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
          (5) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
          (ุ6) ก่อข้อผูกพันใดๆที่มุ่งให้เกิดผลตาม (1) (2) หรือ (3)
          (7) ให้กู้ยืมเงิน
          (8) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อการกุศลสาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
          (9) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
          (10) รับประกันโดยประการใดๆอันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น
          (11) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่บัญญัติไว้มาตรา 1598/4 (1) (2) หรือ (3)
          (12) ประนีประนอมยอมความ
          (13) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

          การทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์นั้น โดยหลักแล้วผู้ใช้อำนาจปกครองสามารถทำได้ ยกเว้นกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1574 จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะทำได้ หากกระทำนิติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1574 นิติกรรมนั้นก็ไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์


          ตัวอย่าง

          นาย ว.มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนาย ย.กับนาง ส. ซึ่งเป็นบิดามารดา นาย ย.กับนาง ส.จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตลอดมา เมื่อนาย ย.กับนาง ส.ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นทรัพย์มรดกของนาย ย.กับนาง ส.ซึ่งตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลทั้งสองรวมทั้งนาย ว.ซึ่งเป็นบุตรชายด้วย ต่่อมาได้มีการตั้งผู้จัดการมรดกของนาย ย.กับนาง ส.ตามคำสั่งศาล หลังจากนั้นต่อมา นาย ว.ซึ่งเป็นทายาทได้ถึงแก่ความตาย มรดกของนาย ว.จึงตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทชั้นบุตร(ผู้เยาว์)และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยา หลังจากนั้นต่อมา ได้มีการทำข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก ระหว่างผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2545 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก ข้อ 4 กำหนดว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 73 เลขที่ีดิน 155 ตำบลเมืองพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นมรดกของเจ้ามรดกให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทนาย ว.ซึ่งในวันทำบันทึกนี้ผู้จัดการมรดกได้มอบโฉนดให้แก่ทายาทของนาย ว.ไปเรียบร้อยแล้ว 
          กรณีนี้ มีปัญหาขึ้นเมื่อทายาทบางคนนำมาฟ้องเป็นคดีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าว โดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ตามมาตรา 1574(12) มีผลทำให้บันทึกที่ทำขึ้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด  ที่สุดศาลได้มีคำวินิจฉัยว่า แม้บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก จะมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 1574(12) ที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะกระทำแทนผู้เยาว์ไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตและจำเลยที่ 2 กระทำบันทึกดังกล่าวแทนบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้ขออนุญาตศาลอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่การขออนุญาตศาลหรือไม่ ไม่ใช่แบบของนิติกรรม และกฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าให้นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวเป็นโมฆะกรรม ทั้งการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้แทนโดยชอบธรรมทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามมาตรา 1574 ไม่ได้ เว้นแต่ศาลอนุญาตนั้น เป็นเจตนารมย์ของกฎหมายที่ประสงค์ให้ศาลเป็นผู้กำกับดูแลผลประโยชน์ส่วนได้เสียของผู้เยาว์ โดยดูแลให้ผู้แทนโดยชอบธรรมปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างถูกต้องแท้จริงเท่านั้น นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ถึงขนาดตกเป็นโมฆะกรรม คงมีผลเพียงไม่ผูกพันผู้เยาว์ที่บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองเท่านั้น..... และเมื่อบันทึกดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆะอันจะทำให้ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดก็สามารถยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้ ตามบทบัญญัติ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลเพียงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์....จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เท่านั้นที่ยกการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างเพื่อมิให้ตนต้องผูกพันตามบันทึกดังกล่าวได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อเพิกถอนบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกได้....
          สรุปว่า กรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์นั้น หากนิติกรรมนั้นเป็นกรณีตามมาตรา 1574 แล้ว จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน หากฝ่าฝืนมาตรา 1574 นิติกรรมนั้นย่อมไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ แต่ไม่ใช่เรื่องโมฆะกรรม ดังนั้น เฉพาะผู้เยาว์เท่านั้นที่จะยกการฝ่าฝืนมาตรา 1574 ขึ้นกล่าวอ้างเพื่อมิให้ตนต้องผูกพันตามนิติกรรมดังกล่าว บุคคลอื่นไม่มีสิทธิยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้าง

(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6838/2555)