ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 393 " ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษ....."
ถ้าเป็นการดูหมิ่นด้วยวาจาผู้กระทำต้องกล่าวซึ่งหน้าผู้เสียหาย แต่การโทรศัพท์มาจากต่างอำเภอแม้จะมีข้อความดูหมิ่นผู้เสียหาย ผู้กระทำก็ไม่มีความผิด
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3711/2557 จำเลยโทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายด่าว่าและทวงเอกสาร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอยู่ห่างไกลกันคนละอำเภอกับจำเลย แต่องค์ประกอบความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ถ้าเป็นการกล่าวด้วยวาจา ผู้กระทำต้องกล่าวซึ่งหน้าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า
หมายเหตุท้ายฎีกา ความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า ตาม ป.อ.มาตรา 393 นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าการดูหมิ่นซึ่งหน้าจะต้องกระทำด้วยการใช้คำพูด จึงอาจเป็นการกระทำด้วยวิธีการอย่างอื่น เช่นส่งกระดาษที่มีข้อความด่าว่าให้ผู้อื่น ชี้ไปที่สุนัขในลักษณะเปรียบเปรยว่าเขาผู้นั้นเป็นสุนัข เพียงแต่การกระทำดูหมิ่นนั้นจะต้องเป็นการกระทำซึ่งหน้าผู้อื่นที่ผู้กระทำนั้นเจตนาต้องการดูหมิ่นเขา.......ถ้ามิได้กระทำซึ่งหน้าผู้เสียหาย จึงขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ซึ่งเป็นไปตามหลักการตีความกฎหมายอาญาที่ว่า "กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด" #สมชัย ฑีฆาอุตมากร
ทนายความ รับปรึกษาคดี และ ว่าความ ทั่วราชอาณาจักร คดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญา คดีแรงงาน อุทธรณ์ฎีกา อุทธรณ์คดีเวนคืนที่ดิน โทร. 0648578506 หรือไลน์ไอดี wc_lawyer
02 พฤษภาคม 2559
28 เมษายน 2559
คดีที่โจทก์ฟ้องมาหลายฐานความผิด ศาลก็ต้องอธิบายฟ้องและถามคำให้การจำเลยทุกฐานความผิด มิเช่นนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มีต่อมาย่อมไม่ชอบ
ป.วิ.อ.มาตรา 172 "การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว และศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป
.........."
คดีที่โจทก์ฟ้องมาหลายฐานความผิด ศาลก็ต้องอธิบายฟ้องและถามคำให้การจำเลยทุกฐานความผิด ว่าแต่ละฐานความผิดจะให้การหรือไม่ให้การอย่างไร หากศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การของจำเลยให้ชัดแจ้ง แล้วกลับพิพากษาลงโทษจำเลยไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10073/2558 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนินการพิจารณาต่อไป คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ต้องสอบถามจำเลยด้วยว่าจะให้การรับสารภาพในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรถยนต์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของยังมิได้เสียภาษี การที่ศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การของจำเลยให้ชัดแจ้ง กลับพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและมีผลให้กระบวนพิจารณาต่อไปตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ชอบไปด้วย
เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว และศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป
.........."
คดีที่โจทก์ฟ้องมาหลายฐานความผิด ศาลก็ต้องอธิบายฟ้องและถามคำให้การจำเลยทุกฐานความผิด ว่าแต่ละฐานความผิดจะให้การหรือไม่ให้การอย่างไร หากศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การของจำเลยให้ชัดแจ้ง แล้วกลับพิพากษาลงโทษจำเลยไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10073/2558 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนินการพิจารณาต่อไป คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ต้องสอบถามจำเลยด้วยว่าจะให้การรับสารภาพในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรถยนต์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของยังมิได้เสียภาษี การที่ศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การของจำเลยให้ชัดแจ้ง กลับพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและมีผลให้กระบวนพิจารณาต่อไปตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ชอบไปด้วย
ป้ายกำกับ:
คดีอาญา
26 เมษายน 2559
ความรับผิดของผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ใช้ ผู้ใช้ให้กระทำความผิดต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ ตามมาตรา 87
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 87 วรรคหนึ่ง "ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตามมาตรา 84 เพราะมีผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 85 หรือโดยมีผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ใช้หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรือเกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น แต่ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่า อาจเกิดการกระทำความผิดเช่นที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการใช้ การโฆษณา หรือประกาศ หรือการสนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้น"
เจ้าพนักงานตำรวจใช้ลูกน้องไปจับกุมผู้ตาย แต่ลูกน้องไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ไม่อาจคาดหมายได้ว่า ลูกน้องของตนจะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ไม่ต้องร่วมรับผิดในความผิดฐานฆ่าคนตาย
แต่การที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ให้ลูกน้องไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตายอาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้นั้นได้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อลูกน้องทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานตำรวจในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6151/2556 จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. จับตัวผู้ตายมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่ ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่า ส. จะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตาย อาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2545 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จ่าสิบเอก ก. ผู้ตาย จ่าสิบเอก อ. และจำเลยที่ 3 กับพวก พากันไปนั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารที่ร้านชงโค จนกระทั่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ได้พากันไปรับประทานอาหารและดื่มสุราต่อที่ร้านมายาคาราโอเกะ โดยขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าแอคคอร์ดของจำเลยที่ 3 จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหารดังกล่าว ต่อมาเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ผู้ตายเดินลงไปที่ลานจอดรถ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วช่วยกันจับตัวผู้ตายโยนใส่รถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิสีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถคันดังกล่าวหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุได้ยึดชิ้นส่วนกระสุนปืนหลายชิ้น รองเท้าหนังของผู้ตาย 1 คู่ ซึ่งตกอยู่ที่เกิดเหตุและยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้าของจำเลยที่ 3 เป็นของกลาง หลังจากนั้นได้พาจำเลยที่ 3 ไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ จากการค้นตัวจำเลยที่ 3 พบโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 0 1892 8644 ในถุงเท้าด้านขวาและพบซิมการ์ดของโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวในถุงเท้าด้านซ้ายของจำเลยที่ 3 จึงยึดเป็นของกลาง ในวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9 นาฬิกา พบศพของผู้ตายถูกทิ้งอยู่ใต้สะพานคลองมะขามเตี้ย แพทย์ได้ทำรายงานการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ระหว่างพิจารณา ภริยาของผู้ตาย และบุตรผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ส่วนจำเลยที่ 3 ความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน มีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและพาอาวุธปืน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและใช้ให้ผู้อื่นฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามทุกปากเบิกความสอดคล้องลำดับเหตุการณ์สมเหตุผล ไม่มีพิรุธ และเมื่อพิจารณาประกอบกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.จับตัวผู้ตายมาเพื่อรีดเค้นความจริงเกี่ยวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่หายไป ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้รับฟังว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติไปจับตัวผู้ตายมาก็ตาม จำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่าผู้ตายจะต่อสู้ และจำเลยที่ 3 ไม่อาจเล็งเห็นผลได้ว่านาย ส.จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.จับตัวผู้ตายมาเพื่อเค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่นาย ส.ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่านาย ส.จะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตายอาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
มาตรา 87 วรรคหนึ่ง "ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตามมาตรา 84 เพราะมีผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 85 หรือโดยมีผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ใช้หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรือเกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น แต่ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่า อาจเกิดการกระทำความผิดเช่นที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการใช้ การโฆษณา หรือประกาศ หรือการสนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้น"
เจ้าพนักงานตำรวจใช้ลูกน้องไปจับกุมผู้ตาย แต่ลูกน้องไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ไม่อาจคาดหมายได้ว่า ลูกน้องของตนจะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ไม่ต้องร่วมรับผิดในความผิดฐานฆ่าคนตาย
แต่การที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ให้ลูกน้องไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตายอาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้นั้นได้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อลูกน้องทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใช้แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานตำรวจในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6151/2556 จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. จับตัวผู้ตายมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่ ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่า ส. จะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตาย อาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2545 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จ่าสิบเอก ก. ผู้ตาย จ่าสิบเอก อ. และจำเลยที่ 3 กับพวก พากันไปนั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารที่ร้านชงโค จนกระทั่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ได้พากันไปรับประทานอาหารและดื่มสุราต่อที่ร้านมายาคาราโอเกะ โดยขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าแอคคอร์ดของจำเลยที่ 3 จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหารดังกล่าว ต่อมาเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ผู้ตายเดินลงไปที่ลานจอดรถ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วช่วยกันจับตัวผู้ตายโยนใส่รถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิสีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถคันดังกล่าวหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุได้ยึดชิ้นส่วนกระสุนปืนหลายชิ้น รองเท้าหนังของผู้ตาย 1 คู่ ซึ่งตกอยู่ที่เกิดเหตุและยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้าของจำเลยที่ 3 เป็นของกลาง หลังจากนั้นได้พาจำเลยที่ 3 ไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ จากการค้นตัวจำเลยที่ 3 พบโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 0 1892 8644 ในถุงเท้าด้านขวาและพบซิมการ์ดของโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวในถุงเท้าด้านซ้ายของจำเลยที่ 3 จึงยึดเป็นของกลาง ในวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9 นาฬิกา พบศพของผู้ตายถูกทิ้งอยู่ใต้สะพานคลองมะขามเตี้ย แพทย์ได้ทำรายงานการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ระหว่างพิจารณา ภริยาของผู้ตาย และบุตรผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ส่วนจำเลยที่ 3 ความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน มีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและพาอาวุธปืน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและใช้ให้ผู้อื่นฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามทุกปากเบิกความสอดคล้องลำดับเหตุการณ์สมเหตุผล ไม่มีพิรุธ และเมื่อพิจารณาประกอบกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.จับตัวผู้ตายมาเพื่อรีดเค้นความจริงเกี่ยวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่หายไป ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้รับฟังว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติไปจับตัวผู้ตายมาก็ตาม จำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่าผู้ตายจะต่อสู้ และจำเลยที่ 3 ไม่อาจเล็งเห็นผลได้ว่านาย ส.จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.จับตัวผู้ตายมาเพื่อเค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่นาย ส.ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่านาย ส.จะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตายอาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนาย ส.ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ป้ายกำกับ:
คดีอาญา
24 เมษายน 2559
แจ้งความเท็จ คู่สมรสฝ่ายหนึ่งให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินในการจดจำนองที่ดินอันเป็นสินสมรสว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรส มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่สามีไปให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตาม ป.อ. มาตรา 137
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8739/2552 จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดในระหว่างสมรสกับโจทก์ อาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476 (1) และมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่จำเลยให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137
เมื่ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลย อำนาจการจัดการจำนองอาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน แม้จำเลยจะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวจำเลยก็ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโดยโจทก์ไม่ยินยอม การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้จำนองหรือโจทก์มีสินสมรสเพิ่มขึ้นหรือไม่ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
การคุมความประพฤติจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 เป็นเพียงวิธีการที่ศาลกำหนดเงื่อนไขประกอบ การใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยเท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้มีหลักเกณฑ์ว่า ความผิดที่จะกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติต้องเป็นความผิดร้ายแรง หรือจำเลยต้องมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือเป็นอันตรายต่อสังคม หรือติดยาเสพติดให้โทษดังที่จำเลยกล่าวอ้าง เมื่อปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองรอการลงโทษจำคุกจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 จึงชอบแล้ว
ศาลฎีกาวินิยฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2544 จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโด และได้จดทะเบียนจำนองอาคารชุดดังกล่าวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยเจ้าพนักงานที่ดินใช้ตรายางประทับข้อความว่า ข้าพเจ้านาย....... ขอรับรองว่าข้าพเจ้ายังเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรส ไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย หากถ้อยคำที่ข้าพเจ้าให้นี้เป็นเท็จให้ใช้ถ้อยคำนี้ยันข้าพเจ้าในคดีอาญาได้ และจำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้ให้ถ้อยคำ ตามบันทึกด้านหลังสัญญาจำนองเป็นประกัน คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า บันทึกด้านหลังดังกล่าวที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้ท้ายบันทึกจะเป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ เห็นว่า จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดในระหว่างสมรสกับโจทก์อาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 (1) และมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่จำเลยให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จแม้จำเลยจะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวจำเลยก็ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโดยโจทก์ไม่ยินยอม การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยเป็นโสด เจ้าพนักงานที่ดินจึงจดทะเบียนจำนองที่ดินให้จำเลย ย่อมให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้วโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้จำนองหรือโจทก์มีสินสมรสเพิ่มขึ้น โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่สามีไปให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตาม ป.อ. มาตรา 137
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8739/2552 จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดในระหว่างสมรสกับโจทก์ อาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476 (1) และมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่จำเลยให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137
เมื่ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลย อำนาจการจัดการจำนองอาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน แม้จำเลยจะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวจำเลยก็ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโดยโจทก์ไม่ยินยอม การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้จำนองหรือโจทก์มีสินสมรสเพิ่มขึ้นหรือไม่ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
การคุมความประพฤติจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 เป็นเพียงวิธีการที่ศาลกำหนดเงื่อนไขประกอบ การใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยเท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้มีหลักเกณฑ์ว่า ความผิดที่จะกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติต้องเป็นความผิดร้ายแรง หรือจำเลยต้องมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือเป็นอันตรายต่อสังคม หรือติดยาเสพติดให้โทษดังที่จำเลยกล่าวอ้าง เมื่อปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองรอการลงโทษจำคุกจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 จึงชอบแล้ว
ศาลฎีกาวินิยฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2544 จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโด และได้จดทะเบียนจำนองอาคารชุดดังกล่าวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยเจ้าพนักงานที่ดินใช้ตรายางประทับข้อความว่า ข้าพเจ้านาย....... ขอรับรองว่าข้าพเจ้ายังเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรส ไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย หากถ้อยคำที่ข้าพเจ้าให้นี้เป็นเท็จให้ใช้ถ้อยคำนี้ยันข้าพเจ้าในคดีอาญาได้ และจำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้ให้ถ้อยคำ ตามบันทึกด้านหลังสัญญาจำนองเป็นประกัน คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า บันทึกด้านหลังดังกล่าวที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้ท้ายบันทึกจะเป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ เห็นว่า จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดในระหว่างสมรสกับโจทก์อาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 (1) และมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่จำเลยให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จแม้จำเลยจะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวจำเลยก็ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโดยโจทก์ไม่ยินยอม การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยเป็นโสด เจ้าพนักงานที่ดินจึงจดทะเบียนจำนองที่ดินให้จำเลย ย่อมให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้วโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้จำนองหรือโจทก์มีสินสมรสเพิ่มขึ้น โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ป้ายกำกับ:
คดีอาญา
08 เมษายน 2559
สัญญาจ้างทำของ สัญญาค้ำประกันการปฎิบัติตามสัญญาจ้างทำของเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง
ป.พ.พ.
มาตรา 587 "อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น"
สัญญาจ้างกำหนดให้ผู้รับจ้างนำหลักประกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งมาวางไว้แก่ผู้ว่าจ้าง เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง การค้ำประกันจึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2554 สัญญาจ้าง ข้อ 3 กำหนดให้ผู้รับจ้างคือ ผู้ร้องและบริษัท ฟ. คู่สัญญาร่วมนำหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 16,850,000 บาท มามอบให้ผู้ว่าจ้าง คือ ผู้คัดค้าน เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคาร ผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมได้ดำเนินการตามข้อกำหนดข้อนี้ของสัญญาเรียบร้อยแล้ว สัญญาค้ำประกันจึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง หาใช่เป็นสัญญาที่แยกจากสัญญาจ้าง
สัญญาค้ำประกันระบุไว้ชัดเจนว่า ธนาคารผู้ค้ำประกันจะต้องชำระเงินที่ค้ำประกันไว้ตามสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใดๆ หรือผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง มีความหมายว่า สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านที่จะเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหาย หรือต้องชำระค่าปรับ หรือค่าใช้จ่าย หรือมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญา การที่ผู้คัดค้านบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมไม่สามารถสร้างปั้นจั่นยกตู้สินค้าได้ทันภายในกำหนดเวลาในสัญญาจ้างได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญาจ้างและขอริบหลักประกัน แต่เมื่อผู้ร้องได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้คัดค้านผิดสัญญาจ้างเช่นกัน จึงเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญา อันจะต้องเสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาและชี้ขาดตามสัญญาจ้าง ข้อ 20
ผู้ค้ดค้านจะริบหลักประกันตามสัญญาจ้างได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่ว่าอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาและชี้ขาดเสียก่อนว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินอันเป็นหลักประกัน การที่ศาลมีหนังสือห้ามมิให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้าน ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันคือ ห้ามผู้คัดค้านได้รับเงินอันเป็นหลักประกันไว้ชั่วคราวจนกว่าอนุญาโตตุลาการจะพิจารณาชี้ขาดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทแล้ว จึงมิใช่เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือสั่งเกินคำขอของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า สัญญาค้ำประกันมิใช่บทบังคับที่คู่สัญญาจะต้องทำสัญญาค้ำประกัน หากแต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางเลือกในรูปแบบที่จะค้ำประกันเท่านั้นและเป็นสัญญาระหว่างผู้คัดค้านกับธนาคาร ท. ที่แยกออกจากสัญญาจ้าง ซึ่งธนาคาร ท. ยอมผูกพันตนโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะชำระเงินตามที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้าน อีกทั้งสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความที่กำหนดให้ดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการเพื่อการใช้สิทธิเรียกร้อง หรือการระงับข้อพิพาทใดๆ คำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่มีผลผูกพันบังคับระหว่างผู้คัดค้านและธนาคารดังกล่าวนั้น เห็นว่า สัญญาจ้าง ข้อ 3 กำหนดให้ผู้รับจ้าง คือ ผู้ร้องและบริษัท ฟ. คู่สัญญาร่วมนำหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 16,850,000 บาท มามอบให้ผู้ว่าจ้าง คือ ผู้คัดค้าน เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารที่เชื่อถือได้ตามแบบที่ผู้คัดค้านกำหนด ซึ่งผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมได้ดำเนินการตามข้อกำหนดข้อนี้ของสัญญาเรียบร้อยแล้ว สัญญาค้ำประกัน จึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้างซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างหาใช่เป็นสัญญาที่แยกจากสัญญาจ้าง นอกจากนั้นตามสัญญาค้ำประกันยังระบุไว้ชัดเจนว่า ธนาคารผู้ค้ำประกันจะต้องชำระเงินที่ค้ำประกันไว้ตามสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใดๆ หรือผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง อันมีความหมายว่าสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านที่จะเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหาย หรือต้องชำระค่าปรับ หรือค่าใช้จ่าย หรือมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญา ซึ่งกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าเมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมกระทำผิดสัญญาจ้างข้อใดข้อหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้น การที่ผู้คัดค้านบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมไม่สามารถสร้างปั้นจั่นยกตู้สินค้าได้ทันภายในกำหนดเวลาในสัญญาจ้างได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญาจ้าง และขอริบหลักประกันตามสัญญาค้ำประกัน สิทธิที่จะริบหลักประกันของผู้คัดค้านจึงมาจากการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญา แต่เมื่อผู้ร้องได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้คัดค้านผิดสัญญาจ้าง เช่นกันก่อนที่ผู้คัดค้านจะบอกเลิกสัญญา จึงเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญา อันจะต้องเสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาและชี้ขาด ตามสัญญาจ้างข้อ 20 เมื่อข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทว่าฝ่ายใดผิดสัญญายังไม่ยุติผู้คัดค้านย่อมริบหลักประกันดังกล่าวไม่ได้ ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันก็ดี หรือห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านก็ดี เป็นการรอนสิทธิของผู้คัดค้านและธนาคารผู้ค้ำประกัน เพราะการชำระเงินอันเป็นหลักประกันเป็นเงินของธนาคารผู้ค้ำประกัน ผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหาย และการห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้าน เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า ผู้คัดค้านจะริบหลักประกันดังกล่าวได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่ว่าอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาและชี้ขาดเสียก่อนว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติในเรื่องนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินอันเป็นหลักประกันได้นั้นจึงหาใช่เป็นการรอนสิทธิไม่ ส่วนที่ว่าการห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้านเป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็ได้ความว่าศาลชั้นต้นเพียงแต่มีหนังสือแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันให้ธนาคารผู้ค้ำประกันทราบเท่านั้น มิได้ห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด อย่างไรก็ตามไม่ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านมิให้ทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันก็ดี หรือห้ามมิให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้านก็ดี ก็ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันคือ ห้ามผู้คัดค้านได้รับเงินอันเป็นหลักประกันไว้ชั่วคราวจนกว่าอนุญาโตตุลาการจะพิจารณาชี้ขาดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทแล้วนั่นเอง จึงมิใช่เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือสั่งเกินคำขอของผู้ร้อง ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญาค้ำประกันบริษัท ฟ. เพราะบริษัทดังกล่าวไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องกระทำแทนนั้น เห็นว่า บริษัท ฟ. นอกจากจะเป็นบริษัทคู่สัญญาร่วมกับผู้ร้องตามสัญญาจ้างแล้ว ยังได้ความตามสัญญาจ้างดังกล่าวอีกว่าบริษัท ฟ. และผู้ร้องยังต้องมีความรับผิดต่อผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จ้างร่วมกัน จึงเป็นเสมือนผู้ร่วมกิจการเดียวกัน การที่ผู้ร้องดำเนินการในเรื่องนี้เพียงลำพังแต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันแล้ว ย่อมมีผลถึงในส่วนของบริษัทคู่สัญญาร่วมดังกล่าวด้วย
มาตรา 587 "อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น"
สัญญาจ้างกำหนดให้ผู้รับจ้างนำหลักประกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งมาวางไว้แก่ผู้ว่าจ้าง เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง การค้ำประกันจึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2554 สัญญาจ้าง ข้อ 3 กำหนดให้ผู้รับจ้างคือ ผู้ร้องและบริษัท ฟ. คู่สัญญาร่วมนำหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 16,850,000 บาท มามอบให้ผู้ว่าจ้าง คือ ผู้คัดค้าน เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคาร ผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมได้ดำเนินการตามข้อกำหนดข้อนี้ของสัญญาเรียบร้อยแล้ว สัญญาค้ำประกันจึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง หาใช่เป็นสัญญาที่แยกจากสัญญาจ้าง
สัญญาค้ำประกันระบุไว้ชัดเจนว่า ธนาคารผู้ค้ำประกันจะต้องชำระเงินที่ค้ำประกันไว้ตามสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใดๆ หรือผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง มีความหมายว่า สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านที่จะเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหาย หรือต้องชำระค่าปรับ หรือค่าใช้จ่าย หรือมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญา การที่ผู้คัดค้านบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมไม่สามารถสร้างปั้นจั่นยกตู้สินค้าได้ทันภายในกำหนดเวลาในสัญญาจ้างได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญาจ้างและขอริบหลักประกัน แต่เมื่อผู้ร้องได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้คัดค้านผิดสัญญาจ้างเช่นกัน จึงเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญา อันจะต้องเสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาและชี้ขาดตามสัญญาจ้าง ข้อ 20
ผู้ค้ดค้านจะริบหลักประกันตามสัญญาจ้างได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่ว่าอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาและชี้ขาดเสียก่อนว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินอันเป็นหลักประกัน การที่ศาลมีหนังสือห้ามมิให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้าน ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันคือ ห้ามผู้คัดค้านได้รับเงินอันเป็นหลักประกันไว้ชั่วคราวจนกว่าอนุญาโตตุลาการจะพิจารณาชี้ขาดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทแล้ว จึงมิใช่เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือสั่งเกินคำขอของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า สัญญาค้ำประกันมิใช่บทบังคับที่คู่สัญญาจะต้องทำสัญญาค้ำประกัน หากแต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางเลือกในรูปแบบที่จะค้ำประกันเท่านั้นและเป็นสัญญาระหว่างผู้คัดค้านกับธนาคาร ท. ที่แยกออกจากสัญญาจ้าง ซึ่งธนาคาร ท. ยอมผูกพันตนโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะชำระเงินตามที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้าน อีกทั้งสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความที่กำหนดให้ดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการเพื่อการใช้สิทธิเรียกร้อง หรือการระงับข้อพิพาทใดๆ คำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่มีผลผูกพันบังคับระหว่างผู้คัดค้านและธนาคารดังกล่าวนั้น เห็นว่า สัญญาจ้าง ข้อ 3 กำหนดให้ผู้รับจ้าง คือ ผู้ร้องและบริษัท ฟ. คู่สัญญาร่วมนำหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 16,850,000 บาท มามอบให้ผู้ว่าจ้าง คือ ผู้คัดค้าน เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารที่เชื่อถือได้ตามแบบที่ผู้คัดค้านกำหนด ซึ่งผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมได้ดำเนินการตามข้อกำหนดข้อนี้ของสัญญาเรียบร้อยแล้ว สัญญาค้ำประกัน จึงเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาจ้างซึ่งเป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประธาน ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างหาใช่เป็นสัญญาที่แยกจากสัญญาจ้าง นอกจากนั้นตามสัญญาค้ำประกันยังระบุไว้ชัดเจนว่า ธนาคารผู้ค้ำประกันจะต้องชำระเงินที่ค้ำประกันไว้ตามสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใดๆ หรือผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง อันมีความหมายว่าสิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านที่จะเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมก่อให้เกิดความเสียหาย หรือต้องชำระค่าปรับ หรือค่าใช้จ่าย หรือมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญา ซึ่งกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าเมื่อผู้ร้องหรือบริษัทคู่สัญญาร่วมกระทำผิดสัญญาจ้างข้อใดข้อหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้น การที่ผู้คัดค้านบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมไม่สามารถสร้างปั้นจั่นยกตู้สินค้าได้ทันภายในกำหนดเวลาในสัญญาจ้างได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญาจ้าง และขอริบหลักประกันตามสัญญาค้ำประกัน สิทธิที่จะริบหลักประกันของผู้คัดค้านจึงมาจากการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องและบริษัทคู่สัญญาร่วมผิดสัญญา แต่เมื่อผู้ร้องได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างโดยอ้างว่าผู้คัดค้านผิดสัญญาจ้าง เช่นกันก่อนที่ผู้คัดค้านจะบอกเลิกสัญญา จึงเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญา อันจะต้องเสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาและชี้ขาด ตามสัญญาจ้างข้อ 20 เมื่อข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทว่าฝ่ายใดผิดสัญญายังไม่ยุติผู้คัดค้านย่อมริบหลักประกันดังกล่าวไม่ได้ ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันก็ดี หรือห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินตามที่ค้ำประกันไว้แก่ผู้คัดค้านก็ดี เป็นการรอนสิทธิของผู้คัดค้านและธนาคารผู้ค้ำประกัน เพราะการชำระเงินอันเป็นหลักประกันเป็นเงินของธนาคารผู้ค้ำประกัน ผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหาย และการห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้าน เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า ผู้คัดค้านจะริบหลักประกันดังกล่าวได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่ว่าอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาและชี้ขาดเสียก่อนว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติในเรื่องนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินอันเป็นหลักประกันได้นั้นจึงหาใช่เป็นการรอนสิทธิไม่ ส่วนที่ว่าการห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้านเป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็ได้ความว่าศาลชั้นต้นเพียงแต่มีหนังสือแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามมิให้ผู้คัดค้านทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันให้ธนาคารผู้ค้ำประกันทราบเท่านั้น มิได้ห้ามธนาคารผู้ค้ำประกันระงับการจ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด อย่างไรก็ตามไม่ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านมิให้ทวงถามหรือขอรับเงินจากธนาคารผู้ค้ำประกันก็ดี หรือห้ามมิให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินที่ค้ำประกันแก่ผู้คัดค้านก็ดี ก็ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันคือ ห้ามผู้คัดค้านได้รับเงินอันเป็นหลักประกันไว้ชั่วคราวจนกว่าอนุญาโตตุลาการจะพิจารณาชี้ขาดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทแล้วนั่นเอง จึงมิใช่เป็นการห้ามเกินคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือสั่งเกินคำขอของผู้ร้อง ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญาค้ำประกันบริษัท ฟ. เพราะบริษัทดังกล่าวไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องกระทำแทนนั้น เห็นว่า บริษัท ฟ. นอกจากจะเป็นบริษัทคู่สัญญาร่วมกับผู้ร้องตามสัญญาจ้างแล้ว ยังได้ความตามสัญญาจ้างดังกล่าวอีกว่าบริษัท ฟ. และผู้ร้องยังต้องมีความรับผิดต่อผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จ้างร่วมกัน จึงเป็นเสมือนผู้ร่วมกิจการเดียวกัน การที่ผู้ร้องดำเนินการในเรื่องนี้เพียงลำพังแต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันแล้ว ย่อมมีผลถึงในส่วนของบริษัทคู่สัญญาร่วมดังกล่าวด้วย
ป้ายกำกับ:
คดีแพ่ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)