ป.พ.พ.มาตรา
1299 วรรคสอง "ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้
และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น
มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต
และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว"
แม้การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1299
จะห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน
โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วก็ตาม
แต่โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาด
มิใช่ผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดย
สุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง
จึงไม่เป็นบุคคลภายนอกที่จะมีสิทธิดีกว่าผู้ร้อง
และแม้ขณะโจทก์ยึดที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
ถือว่าเป็นการยึดโดยชอบก็ตาม
แต่เมื่อต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการ
ครอบครองปรปักษ์แล้ว
ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา
1300
การที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเป็นการบังคับคดีที่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง
ผู้ร้องชอบจะขอให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288
เรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้บังคับคดี โดยโจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 และนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 24688 ตำบลบุ่งขี้เหล็ก อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสอง แปลง โดยการครอบครองปรปักษ์ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาคำสั่งศาล โดยผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 24688 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ถอนการยึด โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องชอบที่จะขอให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 จะบัญญัติว่า สิทธิของผู้ที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์เท่านั้น โจทก์มิได้เป็นผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์จึงมิใช่เป็นบุคคลภายนอกที่จะมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ขณะที่โจทก์ยึดที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งถือว่าได้นำยึดที่ดินพิพาทไว้โดยชอบก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 การที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทจึงเป็นการบังคับคดีที่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชอบที่จะขอให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18606/2556)
เรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้บังคับคดี โดยโจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 และนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 24688 ตำบลบุ่งขี้เหล็ก อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสอง แปลง โดยการครอบครองปรปักษ์ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาคำสั่งศาล โดยผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 24688 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ถอนการยึด โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องชอบที่จะขอให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 จะบัญญัติว่า สิทธิของผู้ที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์เท่านั้น โจทก์มิได้เป็นผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์จึงมิใช่เป็นบุคคลภายนอกที่จะมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ขณะที่โจทก์ยึดที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งถือว่าได้นำยึดที่ดินพิพาทไว้โดยชอบก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 การที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทจึงเป็นการบังคับคดีที่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชอบที่จะขอให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18606/2556)