ต่อมา โจทก์ซึ่งเป็นผู้เคยรับเลี้ยงดูผู้เยาว์ยื่นคำฟ้องขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้เยาว์เลิกจากการเป็นบุตรบุญธรรมของจำเลยทั้งสอง และให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์อีกต่อไป ต่อมาโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีสาระสำคัญว่า จำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์รับผู้เยาว์ไปพักอาศัยที่บ้านโจทก์ได้โดยให้อยู่ในดุลพินิจของจำเลยทั้งสอง และโจทก์ต้องไม่ทำให้กระทบกระเทือนการเรียนของผู้เยาว์ หากฝ่ายใดผิดนัดต้องชำระค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายครั้งละ 10,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ต่อมา จำเลยทั้งสองยื่นคำขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของโจทก์ อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์ยื่นคำขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปพักกับโจทก์และยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำขอของจำเลยทั้งสองที่ขอออกหมายบังคับคดี จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่า การฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมกรณีที่ได้ผู้รับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมโดยศาลมีคำสั่งแทนคำยินยอมของบิดามารดา กระทำได้ต่อเมื่อมีคำสั่งศาลโดยคำร้องของผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/31 วรรคสาม โจทก์เป็นเพียงผู้ที่เคยเลี้ยงดูผู้เยาว์มาก่อนเท่านั้น จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะนำคดีมาฟ้องการเลิกรับบุตรบุญธรรม การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคดีไว้พิจารณา และมีคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยทั้งสองขอออกหมายบังคับคดีและศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ ก็ไม่มีผลให้คำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับมาเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมาย หมายบังคับคดีที่ออกมาก็ไม่สามารถใช้บังคับคดีได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8608/2557)