27 พฤศจิกายน 2559

เอกสารปลอมและเอกสารเท็จ

          ความผิดฐานปลอมเอกสารนั้น จะเป็นความผิดต่อเมื่อเป็นการปลอมเอกสาร โดยการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร ตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง หรือ เป็นการกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ตามมาตรา 264 วรรคสอง เท่านั้น
          ".....เอกสารปลอม คือ เอกสารนั้นแสดงว่าผู้ใดทำโดยที่ผู้นั้นมิได้ทำเอกสารนั้น ไม่ได้ให้อำนาจผู้ใดอื่นทำเอกสารนั้น เอกสารที่คนหนึ่งทำขึ้นโดยให้เข้าใจว่าเป็นเอกสารที่คนอื่นทำขึ้น จึงจะเป็นเอกสารปลอม คือหลอกในตัวผู้ทำเอกสาร ไม่เกี่ยวกับข้อความที่เขียนลงในเอกสารนั้นว่า จริงหรือเท็จแต่ประการใด" (หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2526 โดยท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์)
          แต่ถ้าเอกสารที่ทำขึ้นโดยเจ้าของ โดยแสดงว่าตนเองเป็นผู้ทำอยู่แล้ว แม้เอกสารนั้นจะไม่เป็นความจริง หรือมีข้อความเท็จ ก็เป็นเรื่องเอกสารเท็จ ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร แต่ประการใด


          กรณีทำเอกสารขึ้นเองโดยให้ผู้เห็นเอกสารเข้าใจว่าเป็นเอกสารที่คนอื่นทำขึ้น เป็นเอกสารปลอม
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2519  จำเลยได้รับทำสำเนาทะเบียนบ้านปลอมขึ้นตามที่เจ้าพนักงานตำรวจได้วางแผนเพื่อจับกุม และเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านปลอมดังกล่าวเป็นของกลางซึ่งจำเลยฉีกขาดขณะจับกุม  ดังนี้ แม้สำเนาทะเบียนบ้านปลอมนั้นจะมิได้นำไปใช้ในกิจการที่จำเลยทำและไม่มีผู้ใดเจตนานำไปใช้ก็ดี แต่ในการทำสำเนาทะเบียนบ้านปลอมขึ้นที่พึงเห็นได้ว่า จำเลยได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงอยู่ในตัว การกระทำของจำเลยจึงเข้าองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2519  จำเลยเขียนบันทึกคำให้การนายจุ้นฮองผู้ขอหนังสือเดินทางโดยมิได้สอบปากคำ ทั้งลงลายมือชื่อนายจุ้นฮองเอาเอง เพื่อให้ทางราชการหลงเชื่อว่าเป็นคำให้การนายจุ้นฮอง ทำให้เสียหายแก่ราชการกรมตำรวจและกระทรวงการต่างประเทศ เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2524  จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นเสมียนสถานธนานุเคราะห์สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ มีหน้าที่เขียนตั๋วรับจำนำ จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือของตนในตั๋วรับจำนำซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้จำนำ แสดงออกว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้จำนำ มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2529  การที่จำเลยทำคำสั่งจังหวัดตราดเรื่องแต่งตั้งข้าราชการลงในกระดาษไขโดยไม่มีอำนาจ แล้วตัดเอากระดาษไขที่มีลายมือชื่อของผู้ว่าราชการจังหวัดตราดซึ่งได้ลงนามไว้ในคำสั่งฉบับอื่น มาติดไว้ท้ายคำสั่งที่จำเลยทำขึ้น และจำเลยโรเนียวคำสั่งนี้ออกมา เพื่อแสดงให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าคำสั่งที่จำเลยทำขึ้นนี้เป็นคำสั่งที่แท้จริง ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10385/2546   ใบถอนเงินที่จำเลยทำปลอมขึ้นและนำไปใช้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหาย เป็นหลักฐานที่ใช้แสดงว่าผู้เสียหายได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากไปแล้ว ใบถอนเงินจึงเป็นเอกสารอันก่อให้เกิดสิทธิในการรับเงินจากธนาคารจึงเป็นเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9)
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ใบถอนเงินของธนาคาร ก. ที่จำเลยนำไปยื่นต่อพนักงานของธนาคารดังกล่าว ประจำสาขาอยุธยา เป็นเอกสารสิทธิหรือไม่ เห็นว่า ใบถอนเงินที่จำเลยทำปลอมขึ้นและนำไปใช้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายดังกล่าว เป็นหลักฐานที่ใช้แสดงว่าผู้เสียหายได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารไปแล้ว ใบถอนเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารอันก่อให้เกิดสิทธิในการรับเงินจากธนาคาร จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) การที่จำเลยได้นำแบบพิมพ์ใบถอนเงินของธนาคาร ก. มากรอกข้อความโดยเขียนชื่อนางสาว ศ. ในช่องชื่อบัญชี เขียนเลขที่บัญชี จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมของนางสาว ศ. ในช่องผู้รับเงินและในช่องผู้ถอนเงิน แล้วนำใบถอนเงินไปยื่นต่อพนักงานของธนาคารดังกล่าว ประจำสาขาอยุธยา ซึ่งหลงเชื่อว่าเป็นใบถอนเงินที่แท้จริงจึงจ่ายเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการทำเอกสารสิทธิปลอมขึ้นทั้งฉบับ เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่นางสาว ศ. ธนาคาร และพนักงานธนาคารแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมทั้งสองฉบับ

          แต่ถ้าเป็นเอกสารที่เจ้าของทำขึ้นเอง ไม่ได้ทำเพื่อให้เห็นว่าเป็นเอกสารของผู้อื่น แม้ข้อความในเอกสารจะเป็นความเท็จ ก็ไม่ใช่เอกสารปลอม ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2497   เช่าบ้านเขาอยู่โดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันไว้ ครั้นเจ้าของบ้านขายบ้านนั้นให้ผู้อื่นไป ผู้ซื้อคนใหม่ให้ผุ้เช่าออกจากบ้านเช่า ผู้เช่าก็ไม่ยอมออก ผู้ซื้อจึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้สมคบกับเจ้าของบ้านคนเดิมทำหนังสือสัญญาเช่าขึ้น 1 ฉะบับแล้วผู้เช่าเอามาอ้างเป็นพยานต่อศาลดังนี้ ถือว่ายังไม่เป็นผิดฐานปลอมหนังสือ
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2179/2524  จำเลยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีมีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีกระแสรายวัน ได้กรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบนำฝากเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันว่ามีการนำเช็คเงินสดมาเข้าบัญชีลูกค้าของธนาคาร และลงชื่อในช่องลายเซ็นชื่อผู้มีอำนาจท้ายแบบพิมพ์ เอกสารที่จำเลยทำขึ้นนั้นจำเลยทำในหน้าที่ของจำเลยเอง จำเลยไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เห็นว่าเป็นเอกสารของผู้อื่น แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริงโดยไม่มีเช็คมาเข้าบัญชี ก็เป็นเพียงจำเลยทำหนังสือของจำเลยเองอันมีข้อความเป็นเท็จเท่านั้น จำเลยยังไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิแม้จำเลยนำไปใช้ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046 - 1047/2526   เอกสารทั้งสองฉบับที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำขึ้นเป็นเอกสารของจำเลยซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อของตนเอง มิได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใดและมิใช่เป็นการปลอมหรือเลียนแบบเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริงหรือเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา264 และ 265 ดังนั้น ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงไม่เกิดขึ้น
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6509/2549   จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้มีหน้าที่ต้องจัดให้มีการทำรายงานการประชุมของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2 ได้จัดให้มีการทำบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นขึ้นตามหน้าที่ของตนและลงลายมือชื่อตนเองเป็นประธานที่ประชุม มิได้ทำในนามของบุคคลอื่น จึงเป็นเอกสารที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการประชุมดังกล่าว ก็เป็นการทำเอกสารอันเป็นความเท็จเท่านั้น ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 เมื่อการกระทำดังกล่าวไม่เป็นการปลอมเอกสาร การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 264, 368


ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์

          มาตรา  217 "ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท"
          มาตรา  218 "ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้
          (1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย
          (2) โรงเรือน เรือ หรือแพอันเป็นที่เก็บหรือที่ทำสินค้า
          (3) โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม
          (4) โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นสาธารณสถาน หรือเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมตามศาสนา
          (5) สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน หรือที่จอดรถหรือเรือสาธารณะ
          (6) เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป อากาศยาน หรือรถไฟที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ
          ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี"

          ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์นั้น ทรัพย์ต้องเป็นของผู้อื่นเท่านั้น ถ้าเผาทรัพย์ของตนเองแม้ผู้อื่นจะเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ก็ไม่เป็นความผิดฐานวางเพลิง
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2536  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่านาง จ.ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 5 คน แยกกันอยู่มาเป็นเวลา 10 ปีเศษแต่ยังมิได้จดทะเบียนหย่า ตามวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้ายวางเพลิงเผาบ้านของผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายอยู่อาศัยเป็นเหตุให้บ้านและเครื่องใช้ภายในบ้านได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การวางเพลิงเผาทรัพย์ที่ผู้เสียหายมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าบทบัญญัติ มาตรา 218 เป็นเหตุฉกรรจ์ของมาตรา 217โดยมาตรา 218 บัญญัติให้ผู้กระทำผิดต่อทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา 218(1) ถึง (6) ต้องได้รับโทษหนักขึ้น ดังนั้นการกระทำอันมิได้เป็นความผิดตามมาตรา 217 แม้กระทำต่อทรัพย์ที่ระบุในมาตรา 218 ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิดเช่นกันเมื่อมาตรา 217 บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าการวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นเป็นความผิด ไม่มี ข้อความว่า "หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย" ก็เป็นความผิดแล้ว จะตีความคำว่า"ทรัพย์ของผู้อื่น" ให้รวมถึงทรัพย์ที่ผู้อื่นมีส่วนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยดังที่โจทก์ฎีกาย่อมมิได้ เพราะการตีความบทกฎหมายที่มีโทษทางอาญาจะต้องตีความโดย เคร่งครัด จะขยายความออกไปถึงกรณีที่ไม่ได้ระบุไว้ในตัวบทโดยชัดแจ้งเพื่อให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยย่อมมิได้เพราะขัดต่อหลักความรับผิดของบุคคลในทางอาญาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2    

          ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดสำเร็จต่อเมื่อทรัพย์นั้นไหม้ ถ้าเพลิงยังไม่ไหม้ทรัพย์ ก็เป็นเพียงพยายามกระทำความผิด
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5544/2531  การกระทำที่จะเป็นความผิดสำเร็จฐานวางเพลิงเผาทรัพย์นั้นไม่หมายความเพียงว่าเอาเพลิงไปวางเท่านั้น หากต้องเป็นการเผาทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์นั้นติดไฟขึ้นด้วย เพียงแต่ทรัพย์มีรอยเกรียม ดำแต่ยังไม่ไหม้ไฟ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จคงเป็นความผิดฐานพยายามเท่านั้น การที่จำเลยโกรธผู้เสียหายเนื่องจากถูกผู้เสียหายทำร้ายต่อหน้าบุคคลอื่น จึงบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยมีน้ำมันเบนซิน ไม้ขีดไฟและมีดโต้ติดตัวไปด้วย แล้วใช้มีดฟันประตูครัวราดน้ำมันเบนซินใส่และจุดไฟเผาจากนั้นวิ่งขึ้นชั้นบนราดน้ำมันเบนซินใส่พื้นบ้านจุดไม้ขีดไฟเผาอีกแล้วจำเลยวิ่งลงมาใช้มีดโต้ฟันทรัพย์สินอื่น ๆ ในบ้านแตกเสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะทำลายทรัพย์สินของผู้เสียหายในคราวเดียวกัน แม้จำเลยจะวางเพลิงและใช้มีดโต้ฟันทำลายทรัพย์สินด้วยก็เป็นเพียงแต่การใช้วิธีการที่แตกต่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6666/2542  จำเลยมีเจตนาจะทำลายรั้วไม้ไผ่ที่ปักติดเป็นแผงของผู้เสียหายโดยนำไปเผาให้ใช้การไม่ได้เท่านั้น การที่จำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ของผู้เสียหายจำนวน2 แผง แล้วนำไปเผาทำลายใกล้บริเวณรั้วนั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358 เพียงบทเดียว มิใช่กระทำผิดหลายบท การเผาแผงไม้ไผ่เป็นการทำลายทรัพย์ของผู้เสียหายให้เสียหาย มิใช่จำเลยวางเพลิงเผารั้วบ้านของผู้เสียหายในขณะที่มีสภาพเป็นรั้วบ้านกั้นขอบเขตเป็นที่อยู่อาศัย จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 217 อีกกระทงหนึ่ง

          ในส่วนมาตรา 218 นั้น เป็นเรื่องของโทษที่หนักขึ้นเท่านั้น แต่หลักเกณฑ์ว่าเป็นความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์หรือไม่ ก็ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับมาตรา 217
           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2531 การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชาเพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้วไฟอาจจะลุกลามไหม้เตียงนอน ฝาผนัง เพดาน จนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้ เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1)
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6738/2537  จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงฟื้นห้องของเหลวไวไฟดังกล่าวเป็นวัตถุไวไฟที่ร้ายแรงติดไฟได้ง่ายและสามารถลุกลามไปได้ทั้งร่างกาย เมื่อเทของเหลวไวไฟแล้วจำเลยใช้ไฟแช็กจุดไฟที่ต้นคอผู้ตาย ก่อให้ไฟไหม้ตามตัวของผู้ตายร้อยละ90 ของร่างกาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าผู้ตาย จำเลยได้ขอซื้อไฟแช็คจากส. ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพื่อนจำเลยห้ามไม่ให้ ส.ขายให้ทั้งจำเลยเป็นผู้ริเริ่มโทรศัพท์นัดให้ ค.และผู้ตายไปตกลงเรื่องชู้สาวในวันเกิดเหตุและตระเตรียมการซื้อไฟแช็กเพื่อประสงค์ใช้ในการจุดไฟการกระทำของจำเลยชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้คิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำผิดแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะจำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดไปที่ผู้ตายนั้น โจทก์ร่วมที่ 2 ลุกจากที่นั่งมาที่ผู้ตายห่างเพียง 1 เมตร จะเข้าไปห้ามปรามจำเลย แต่กลับรู้สึกตัวว่ามีไฟลุกไหม้ที่หน้าตามลำตัวด้านหน้าและที่มือทั้งสองข้าง อันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายแล้วของเหลวไวไฟกระเด็นไปถูกตัวโจทก์ร่วมที่ 2ด้วย ทำให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและตามลำตัวด้านหน้าใช้เวลารักษา 5 เดือน ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วย เมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกบทหนึ่ง จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดและจุดไฟให้ลุกไหม้ผู้ตายขณะอยู่ในห้องทำงานของโจทก์ร่วมที่ 2 บนชั้นสองของตึกแถวที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโรงเรือนที่พักอาศัยและเป็นโรงเรียนสอนตัดเสื้อของโจทก์ที่ 1 ปรากฏว่านอกจากไฟจะลุกไหม้ผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ 2 แล้วยังลุกไหม้โต๊ะ เก้าอี้ และพื้นห้องของโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าวเสียหาย ซึ่งเห็นได้ว่าโดยลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้ว่า ไฟต้องลุกไหม้ขึ้นภายในอาคารตึกแถวที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1 ด้วย


19 พฤศจิกายน 2559

สิทธิจำนองครอบทรัพย์สินซึ่งจำนองเพียงใด

          1. สิทธิจำนองครอบทรัพย์สินซึ่งจำนองทุกสิ่ง
          มาตรา  716 "จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่ง แม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน"
          กรณีเอาทรัพย์สินหลายสิ่งมาจำนองเป็นประกันหนี้รายเดียวกันหรือกรณีจำนองที่ดินแล้วต่อมามีการแบ่งแยกโฉนดออกเป็นหลายโฉนด ถึงแม้จะมีการชำระหนี้จำนองบางส่วนแล้วก็ตาม สิทธิจำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์สินทุกรายการหรือทุกสิ่ง เว้นแต่จะมีการตกลงกับผู้รับจำนองว่าให้ทรัพย์สินรายการใดหลุดพ้น ดังนั้น ถ้ามีลูกหนี้จำนองขอชำระหนี้บางส่วนเพื่อให้ทรัพย์สินที่จำนองบางสิ่งปลอดจำนอง ย่อมเป็นสิทธิของผู้รับจำนองว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2539  เมื่อจำเลยที่ 4 เป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวน 42,000,000 บาทเศษ แม้หากจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 1,300,000 บาท การจำนองก็ยังคงครอบไปถึงที่ดินที่จำนองทุกแปลง เว้นแต่จำเลยที่ 1 ผู้รับจำนองยินยอมด้วยก็สามารถปลอดจำนองที่ดินแปลงใดได้ ดังนั้น การที่โจทก์ขอชำระหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 เพียงบางส่วน เพื่อให้ที่ดินพิพาทปลอดจากจำนอง ย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะยอมรับหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม ก็ไม่มีทางที่จะบังคับจำเลยที่ 1 ให้ยินยอมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2539  จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ในอีกคดีหนึ่งฟ้องบริษัท ส.ขอให้บังคับจำนองที่ดินหลายแปลงซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทในคดีนี้ที่บริษัท ส. เป็นลูกหนี้อยู่ เมื่อโจทก์เป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แบ่งแยกออกมาจากบริษัท ส. ที่ต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในการที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทหากปล่อยให้บังคับคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าใช้หนี้ให้จำเลยแทนบริษัท ส. ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 แต่แม้ว่าจะมีการไถ่ถอนจำนองไปบางส่วนแล้ว ทรัพย์สินซึ่งจำนองทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็จะต้องเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาจำนองของเงินจำนวนทั้งหมดที่ค้างอยู่ตามมาตรา 716 และ 717 เมื่อหนี้จำนองที่บริษัท ส. มีต่อจำเลยยังเหลืออยู่อีก 5,396,629.37 บาท แต่มีที่ดินพิพาทเหลืออยู่เพียงแปลงเดียวการไถ่ถอนจำนอง ก็ต้องชำระหนี้ทั้งหมดที่บริษัท ส.เป็นหนี้จำเลยอยู่ โจทก์จะบังคับให้จำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเพียง 386,788.60 บาท ไม่ได้

          2. จำนองครอบทรัพย์สินที่จำนองทุกส่วน
          มาตรา  717 "แม้ว่าทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม ท่านว่าจำนองก็ยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง
          ถึงกระนั้นก็ดี ถ้าผู้รับจำนองยินยอมด้วย ท่านว่าจะโอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งส่วนใดไปปลอดจากจำนองก็ให้ทำได้ แต่ความยินยอมดั่งว่านี้หากมิได้จดทะเบียน ท่านว่าจะยกเอาขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่บุคคลภายนอกหาได้ไม่"
          เป็นเรื่องเอาทรัพย์สินสิ่งเดียวแต่มีหลายส่วนไปจำนองเป็นประกันหนี้ สิทธิจำนองย่อมครอบไปถึงทุกส่วนของทรัพย์สินนั้น แต่ถ้าผู้รับจำนองจะตกลงยินยอมให้ส่วนใดปลอดจำนองก็ได้ โดยต้องนำความยินยอมนั้นไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้

          3. จำนองครอบไปถึงทรัพย์อันติดพันกับทรัพย์สินซึ่งจำนอง
          มาตรา  718 "จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ต้องอยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจำกัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้"
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2524  บ้านเรือนซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงใด ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินแปลงนั้น ถ้าไม่ปรากฏหลักฐานเป็นอย่างอื่นผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใด ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนั้น ดังนั้น การจำนองหรือการโอนที่ดินถ้าหากไม่ปรากฏว่ามีเงื่อนไขว่าจำนองหรือโอนไปโดยไม่รวมถึงบ้านอันเป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว ก็ต้องถือว่าได้จำนองหรือโอนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนั้นด้วย โดยไม่จำต้องระบุว่าการจำนองหรือโอนนั้นให้รวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้นด้วย
          ข้อยกเว้นหลักเรื่องจำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง ตามมาตรา 718 
          (1) จำนองที่ดินไม่ครอบไปถึงโรงเรือนที่ปลูกสร้างภายหลังวันจำนอง
          มาตรา  719 "จำนองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จำนองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจำนอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง
          แต่กระนั้นก็ดี ผู้รับจำนองจะให้ขายเรือนโรงนั้นรวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่ผู้รับจำนองอาจใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ราคาที่ดินเท่านั้น"
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2524   บ้านเรือนซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงใด ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินแปลงนั้น ถ้าไม่ปรากฏหลักฐานเป็นอย่างอื่นผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใด ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนั้น ดังนั้น การจำนองหรือการโอนที่ดินถ้าหากไม่ปรากฏว่ามีเงื่อนไขว่าจำนองหรือโอนไปโดยไม่รวมถึงบ้านอันเป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว ก็ต้องถือว่าได้จำนองหรือโอนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนั้นด้วย โดยไม่จำต้องระบุว่าการจำนองหรือโอนนั้นให้รวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้นด้วย
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521/2516   ผู้ที่มิใช่เจ้าของทรัพย์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำทรัพย์นั้นไปจำนอง 
          แม้เอกสารต่อท้ายสัญญาจำนองจะมีข้อความระบุว่าผู้จำนองได้จำนองสิ่งปลูกสร้างซึ่งได้ปลูกสร้างขึ้นภายหลังจำนองด้วย ข้อความดังกล่าวก็ย่อมหมายถึงสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จำนองเท่านั้น ไม่รวมถึงทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอกด้วย  ผู้รับจำนองจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายสิ่งปลูกสร้างของบุคคลภายนอกซึ่งได้ปลูกสร้างไว้บนที่ดินของผู้จำนอง
          (2) จำนองโรงเรือนที่ปลูกในที่ดินผู้อื่นไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย
          มาตรา  720 "จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น"
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3916/2525   สิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ปลูกอยู่บนที่ดินของจำเลยที่ 2 การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ในส่วนที่เป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวด้วย ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยที่ดินส่วนดังกล่าวซึ่งมิใช่เป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 
          สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่ผู้ร้องรับจำนองไว้จากจำเลยที่ 1 นั้น ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีสิทธิที่จะยึดและนำออกขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาได้ ผู้ร้องชอบที่จะขอรับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หรือหากผู้ร้องไม่ขอรับชำระหนี้จำนอง สิทธิจำนองของผู้ร้องซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือสิ่งปลูกสร้างนั้นก็ไม่ถูกกระทบกระทั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยสิ่งปลูกสร้างนั้น
          (3) จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลของทรัพย์สินซึ่งจำนอง
          มาตรา  721 "จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง  เว้นแต่ในเมื่อผู้รับจำนองได้บอกกล่าวแก่ผู้จำนองหรือผู้รับโอนแล้วว่าตนจำนงจะบังคับจำนอง"
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2530  ดอกผล แห่งทรัพย์สินที่จำนองซึ่งผู้รับจำนองจะบังคับเอาได้นั้น ถ้าเงินค่าเช่าที่ดินและบ้านที่จำนองอันเป็นดอกผลนิตินัยแล้ว จะต้องเป็นการเช่าที่มีอยู่ก่อนและขณะผู้รับจำนองบอกกล่าวบังคับจำนอง ไม่ใช่ไม่มีการเช่า อยู่เลยแล้วคาดหมายว่าอาจให้เช่า และได้ค่าเช่าจำนวนหนึ่งในภาคหน้า ฉะนั้น ค่าเช่าที่ดินและบ้านที่จำนองซึ่งโจทก์คาดว่าจะได้ในภาคหน้า ดังกล่าวจึงไม่ใช่ดอกผล ที่โจทก์ผู้รับจำนองจะพึงบังคับจำนองเอาตาม ป.พ.พ.มาตรา 721 ได้