คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2565 ที่ดินมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปี สามารถทำเป็นสัญญาจะซื้อจะขายได้ และผู้จะซื้อครอบครองที่ดินนั้นแทนผู้จะขาย จึงไม่อาจอ้างครอบครองปรปักษ์ได้


          แม้ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่ง ป.ที่ดิน นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2553 และโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ภายในเวลาสิบปีตามข้อกำหนดห้ามโอนก็ตาม แต่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต่างรู้ว่าที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนและตกลงกันว่าจะโอนให้แก่กัน ณ สำนักงานที่ดินมะขาม ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 อันเป็นเวลาภายหลังพ้นข้อกำหนดห้ามโอนในวันที่ 30 สิงหาคม 2563 แล้วเช่นนี้ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทย่อมเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การที่จำเลยครอบครองดูแลทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่โจทก์จะขายให้แก่จำเลย ถือได้ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทนั้นไว้ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง มิใช่เป็นการครอบครองเพื่อตนเอง ตราบใดที่จำเลยมิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 การครอบครองที่ดินของจำเลยจึงเป็นการยึดถือแทนโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการถือสิทธิครอบครองเด็ดขาดเป็นของตนในฐานะเจ้าของไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเสร็จเด็ดขาดในระหว่างที่มีข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายอันเป็นการฝ่าฝืน ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ และมีผลให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ไม่ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจึงมีผลสมบูรณ์และบังคับกันได้ในลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขายอันเป็นบุคคลสิทธิ และเป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอาความแก่โจทก์ต่อไปตามบทบัญญัติว่าด้วยผลแห่งหนี้และสัญญา และเมื่อการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการครอบครองแทนโจทก์เช่นนี้ จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ขึ้นยันแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
          -----------------------------------------------------
           
          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10921 และสวนทุเรียนของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสวนทุเรียนของโจทก์

          จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และขอให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนที่ดินให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่กระทำให้จำเลยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10921 และสวนทุเรียนของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์ปีละ 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินและสวนทุเรียนของโจทก์ ยกฟ้องแย้ง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยตามฟ้องแย้งให้เป็นพับ

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทและสวนทุเรียนของโจทก์ หรือจนกว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจะโอนไปจากโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

          โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยกับโจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เดิมที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10921 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองโดยไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน ต่อมาจำเลยแบ่งขายที่ดินของจำเลยดังกล่าวเฉพาะส่วนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2551 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยมีข้อความระบุในสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินว่า ห้ามโอนภายในสิบปีตามมาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2553 หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยมีข้อความระบุวันทำสัญญาซื้อขายว่า วันที่ 2 ธันวาคม 2556 ผู้ขาย (โจทก์) จะส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่ผู้ซื้อ (จำเลย) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 โจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยกู้ยืมเงินแก่ธนาคาร พ.

          พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะและใช้บังคับไม่ได้หรือไม่ และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2551 จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานหลักฐานของจำเลยว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย และได้รับค่าที่ดินพิพาทจากจำเลยครบถ้วนแล้ว แม้ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปีตามมาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2553 และโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ภายในเวลาสิบปีตามข้อกำหนดห้ามโอนก็ตาม แต่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต่างรู้ว่าที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนและตกลงกันว่าจะโอนให้แก่กัน ณ สำนักงานที่ดินมะขาม ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 อันเป็นเวลาภายหลังพ้นข้อกำหนดห้ามโอนในวันที่ 30 สิงหาคม 2563 แล้ว สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทย่อมเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การที่จำเลยครอบครองดูแลทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่โจทก์จะขายให้แก่จำเลย ถือได้ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทนั้นไว้ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง มิใช่เป็นการครอบครองเพื่อตนเอง ตราบใดที่จำเลยมิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่เป็นเพียงการยึดถือแทนโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการถือสิทธิครอบครองเด็ดขาดเป็นของตนในฐานะเจ้าของไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเสร็จเด็ดขาดในระหว่างที่มีข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ และมีผลให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ไม่ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ในลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขายอันเป็นบุคคลสิทธิ และเป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอาความแก่โจทก์ต่อไปตามบทบัญญัติว่าด้วยผลแห่งหนี้และสัญญา เมื่อการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการครอบครองแทนโจทก์เช่นนี้ จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขึ้นยันแก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วจำเลยไม่ยอมออกไป จึงเป็นการทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นแก่โจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ปัญหาอื่นตามฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยนอกจากนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นสาระแก่คดี

          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

          (สมชัย ฑีฆาอุตมากร-อำนาจ โชติชะวารานนท์-วรพงศ์ มนตรีกุล ณ อยุธยา)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 150, 456 วรรคสอง, 1381, 1382
ประมวลกฎหมายที่ดิน ม. 58 ทวิ