คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2566 คำพิพากษาผูกพันคู่ความ,เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก,การกระทำโดยเจตนา,ความผิดฐานบุกรุก


          เดิมโจทก์ร่วมฟ้อง ส. เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 902/2556 หมายเลขแดงที่ 2060/2557 ของศาลชั้นต้น ขอให้ขับไล่และรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ร่วม และห้าม ส. กับบริวารเกี่ยวข้อง จำเลยเป็นผู้รับมอบอำนาจ ส. ต่อสู้คดี ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและ ส. เป็นทางสาธารณะ พิพากษาให้ ส. รื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมและห้าม ส. กับบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์ร่วม คดีถึงที่สุด โดยคดีก่อน ส. กับจำเลยในฐานะผู้รับมอบอำนาจ ส. ให้การและเบิกความรับว่า พ. บิดาจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและที่ดินมือเปล่าหลายพันไร่ โดยใส่ชื่อ พ. ส. จำเลย กับบุตรอื่นของ พ. ในเอกสารสิทธิหลายฉบับบางฉบับใส่ชื่อผู้จัดการมรดกของ พ. เยี่ยงนี้ ส. จึงมีชื่อเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแทน พ. นับแต่วันออกเอกสารสิทธิ เมื่อ พ. ถึงแก่ความตาย ที่ดินย่อมเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ ส. และจำเลยรวมทั้งทายาทอื่นของ พ. การที่ ส. ผู้ถูกโจทก์ร่วมฟ้องในคดีเดิมย่อมอยู่ในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกแทนจำเลยและทายาทอื่นของ พ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745, 1356 และ 1359 จึงต้องถือว่าจำเลยเป็นคู่ความเดียวกันกับ ส. และถูกผูกพันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 หาใช่บุคคลภายนอกที่ไม่ถูกผูกพันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมไม่ เมื่อคดีเดิมถึงที่สุดและเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำพิพากษาเสร็จแล้ว จำเลยกระทำละเมิดขึ้นใหม่ กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองในคดีเดิมวินิจฉัยไว้ว่าการกระทำของจำเลยจึงถือเป็นการละเมิดด้วยการปักเสาปูนและล้อมรั้วลวดหนามบนทางสาธารณประโยชน์ปิดกั้นเส้นทางรถยนต์ที่ใช้เข้าออกจากที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อคดีเดิม ส. ฎีกาโดยโจทก์ร่วมมิได้ฎีกา และต่อมา ส. แถลงขอยุติคดีโดยไม่ต้องการฎีกาต่อไปและขอถอนจำเลยจากการเป็นผู้รับมอบอำนาจ ศาลชั้นต้นอนุญาต คดีเดิมจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันแถลงดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง และผูกพันโจทก์ร่วมกับจำเลย การที่จำเลยยังคงดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับผลแห่งคำพิพากษาตามกฎหมายโดยยังคงเข้าไปปักเสาปูนและกั้นรั้วลวดหนาม ทั้งศาลชั้นต้นในคดีเดิมมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้รื้อถอนเสาปูนและรั้วรวดหนามบางส่วนตามที่คู่ความตกลงกัน จึงเป็นการกระทำโดยรู้อยู่แก่ใจว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและ ส.เป็นทางสาธารณะ ทั้งประสงค์ให้เกิดผลเป็นการปิดกั้นเส้นทางรถยนต์ที่โจทก์ร่วมใช้เข้าออกจากที่ดินพิพาทสู่ทางสาธารณะ ซึ่งจิตใจของวิญญูชนคนธรรมดาทั่วไปโดยวิสัยและพฤติการณ์เยี่ยงจำเลยพึงรับรู้และคาดหมายได้อย่างแน่แท้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง และเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 362 เดิม

          ------------------------------------------------------------

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362

          จำเลยให้การปฏิเสธ

          ระหว่างพิจารณา นางเพ็ญจันทร์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 2 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

          โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 (เดิม) จำคุก 1 ปี

          จำเลยฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า นางเพ็ญจันทร์ โจทก์ร่วม มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1654 นางสุภา มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1685 ที่ดินทั้งสองแปลงมีทางสาธารณประโยชน์สายคลองหิน - คลองสี่ตา - สายเวิ้ง คั่นกลาง วันที่ 26 พฤษภาคม 2556 จำเลยสร้างรั้วลวดหนามขึ้นในที่ดินพิพาท ซึ่งอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมยื่นฟ้องนางสุภาต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 902/2556 ขอให้ขับไล่และรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามกับให้ชดใช้ค่าเสียหาย นางสุภามอบอำนาจให้จำเลยดำเนินคดีแทน ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามที่คู่ความตกลงกัน โดยให้รื้อถอนเสาปูนออก 1 ต้น ตัดรั้วลวดหนามระหว่างเสาปูนออก 2 ช่อง เพื่อให้โจทก์ร่วมนำรถยนต์เข้าออกระหว่างที่ดินพิพาทได้ และทั้งสองฝ่ายจะไม่เข้าไปกระทำการใด ๆ บนที่ดินพิพาทจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้โจทก์ร่วมและจำเลยฟัง โดยวินิจฉัยว่า แนวรั้วลวดหนามสร้างขึ้นในที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นทางสาธารณะ ให้นางสุภารื้อถอนและชดใช้ค่าเสียหาย พิพากษายืน ตามคดีหมายเลขดำที่ 250/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 1773/2558 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 นางสุภายื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอยุติคดีไม่ต้องการยื่นฎีกาและขอถอนจำเลยจากการเป็นผู้รับมอบอำนาจ โดยโจทก์ร่วมไม่ได้ยื่นฎีกา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559 ตามฟ้องจำเลยเข้าไปปักเสาปูน 6 เหลี่ยมที่แนวรั้วลวดหนาม

          พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมมีผลผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า เดิมโจทก์ร่วมฟ้องนางสุภาเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 902/2556 หมายเลขแดงที่ 2060/2557 ของศาลชั้นต้น ขอให้ขับไล่และรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ร่วม และห้ามนางสุภาและบริวารเกี่ยวข้อง จำเลยเป็นผู้รับมอบอำนาจนางสุภาต่อสู้คดี ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและนางสุภาเป็นทางสาธารณะ พิพากษาให้นางสุภารื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมและห้ามนางสุภาและบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์ร่วมตามสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีหมายเลขดำที่ 250/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 1773/2558 คดีถึงที่สุด นอกจากนี้นางสุภากับจำเลยในฐานะผู้รับมอบอำนาจนางสุภาให้การและเบิกความนำสืบในคดีดังกล่าวรับว่า นายไพศาล บิดาจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและที่ดินมือเปล่าใช้ปลูกยางพาราประมาณ 2,000 ไร่ โดยใส่ชื่อนายไพศาล นางสุภา จำเลยและบุตรคนอื่นของนายไพศาลไว้ในเอกสารสิทธิหลายฉบับ บางฉบับใส่ชื่อนายเฉลิมชัย และนายเฉลิมพร ผู้จัดการมรดกของนายไพศาล นางสุภาจึงมีชื่อเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1685 แทนนายไพศาลตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2521 เมื่อนายไพศาลถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ที่ดินจึงเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่นางสุภาและจำเลยรวมทั้งทายาทอื่นของนายไพศาล นางสุภาผู้ถูกโจทก์ร่วมฟ้องในคดีเดิมย่อมอยู่ในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกแทนจำเลยและทายาทอื่นของนายไพศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745, 1356 และ 1359 จึงต้องถือว่าจำเลยเป็นคู่ความเดียวกันกับนางสุภาและถูกผูกพันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หาใช่บุคคลภายนอกที่ไม่ถูกผูกพันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีเดิมดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อคดีเดิมถึงที่สุดและเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาเสร็จแล้ว จำเลยกระทำละเมิดขึ้นใหม่ด้วยการปักเสาปูนและล้อมรั้วลวดหนามบนทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวปิดกั้นเส้นทางรถยนต์ที่ใช้เข้าออกจากที่ดินของโจทก์ร่วม กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองในคดีเดิมวินิจฉัยไว้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและนางสุภาเป็นทางสาธารณะ จำเลยปักเสาปูนและล้อมรั้วลวดหนามบนทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวปิดกั้นเส้นทางรถยนต์ที่ใช้เข้าออกจากที่ดินของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นการละเมิดโจทก์ร่วมฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีเจตนากระทำความผิดอาญาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง บัญญัติว่า กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สึกสำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีหมายเลขดำที่ 250/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 1773/2558 ให้โจทก์ร่วมและจำเลยในฐานะผู้รับมอบอำนาจนางสุภาฟังเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 นางสุภา ฎีกา โดยโจทก์ร่วมมิได้ฎีกา วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 นางสุภาแถลงขอยุติคดีไม่ต้องการฎีกาต่อไปและขอถอนจำเลยจากการเป็นผู้รับมอบอำนาจ ศาลชั้นต้นอนุญาต คดีเดิมจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง และผูกพันโจทก์ร่วมกับจำเลยดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น จำเลยยังคงดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับผลแห่งคำพิพากษาตามกฎหมาย โดยวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559 ตามฟ้อง จำเลยเข้าไปปักเสาปูน 6 เหลี่ยมที่แนวรั้วลวดหนาม ซึ่งหากพิจารณาภาพถ่าย แผ่นที่ 1 เป็นแนวรั้วลวดหนามพิพาทในคดีเดิมที่โจทก์ร่วมยื่นฟ้องนางสุภาต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 902/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 2060/2557 ต่อมาวันที่ 3 สิงหาคม 2556 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้รื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามบางส่วนตามที่คู่ความตกลงกัน สำหรับภาพถ่าย แผ่นที่ 2 เป็นภาพเสาปูน 6 เหลี่ยมที่โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องและจำเลยรับว่าจำเลยปักขึ้นใหม่เป็นข้อพิพาทคดีนี้ จึงเป็นการกระทำโดยรู้อยู่แก่ใจว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีเดิมวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม ทางที่อยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ร่วมและนางสุภาเป็นทางสาธารณะ ทั้งประสงค์ให้เกิดผลเป็นการปิดกั้นเส้นทางรถยนต์ที่โจทก์ร่วมใช้เข้าออกจากที่ดินพิพาทสู่ทางสาธารณะ ซึ่งจิตใจของวิญญูชนคนธรรมดาทั่วไปโดยวิสัยและพฤติการณ์เยี่ยงจำเลยพึงรับรู้และคาดหมายได้อย่างแน่แท้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง ข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลย 1 ปี นั้นชอบด้วยเหตุปัจจัยและผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ความประพฤติทั่วไปไม่มีข้อเสียหายร้ายแรง มีภาระครอบครัว ธุรกิจ และลูกจ้างในกิจการที่ต้องรับผิดชอบดูแล เหตุที่จำเลยกระทำไปอาจเป็นเพราะหลงยึดติดในความเชื่อผิด ๆ ว่าที่พิพาทเป็นของบิดา สมควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดีด้วยการรอการลงโทษและคุมความประพฤติไว้ จักเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยรวมมากกว่าจำคุกไปเสียทีเดียว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยข้ออื่นนอกจากนี้เป็นข้อปลีกย่อยพลความ ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่เห็นสมควรวินิจฉัย

          พิพากษาแก้เป็นว่า รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ 5 ปี คุมความประพฤติจำเลย 5 ปี นับแต่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 6 เดือน ตลอดเวลาที่คุมประพฤติ ห้ามจำเลยและบริวารกระทำการใด ๆ บนทางสาธารณประโยชน์เส้นทางสายคลองหิน - คลองสี่ตา - สายเวิ้ง ในลักษณะเป็นการปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ร่วมไปสู่ทางสาธารณประโยชน์และประชาชนทั่วไปที่จะใช้ทางดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

          (วิธูร คลองมีคุณ-ธนิต รัตนะผล-สมชาย อุดมศรีสำราญ)


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59 วรรคสอง, 362 (เดิม)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1356, 1359, 1745
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 วรรคหนึ่ง, 147 วรรคสอง